คู่มือภาษี ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตามกฎหมายใหม่ ณ พฤศจิกายน 58 โดยกรมสรรพากร
อ่านรายละเอียด :-
คู่มือภาษี ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตามกฎหมายใหม่ ณ พฤศจิกายน 58 โดยกรมสรรพากร
บริษัท เอส.เค.แอคเคาน์ติ้งอินฟอร์เมชั่น จำกัด โทร 02-575-3007-8 รับจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วน บริษัท บุุคคลธรรมดา พร้อมนำส่งงบการเงิน DBD E-filing รับวางระบบบัญชีด้วยโปรแกรมบัญชี Express ให้บริการยื่นแบบผ่านทางอินเตอร์เน็ต และสื่อคอมพิวเตอร์ รับวางแผนภาษี และเคลียภาษีสรรพากร ตรวจสอบ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI-Business) รับแก้ไขปัญหาคดีรับหมายเรียกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฐานความผิดไม่ยื่นงบการเงิน หรือส่งงบการเงินล่าช้า เกินกำหนดดังกล่าว โดยประหยัดและถูกต้อง
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล แสดงบทความทั้งหมด
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559
วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558
ความเข้าใจเกี่ยวกับภาระภาษีกรณีเงินฝากร่วมกันของคณะบุุคคล หรือ สามีภรรยา
ที่มา Fanpages กรมสรรพากร วันที่ 30/3/2558
เรื่อง ความเข้าใจเกี่ยวกับภาระภาษีกรณีเงินฝากร่วมกัน
ตามที่กรมสรรพากรได้มีการแก้ไขกฎหมายโดยการตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 39) พ.ศ. 2557 ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติจัดเก็บจากดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากร่วมกันที่ได้รับจากธนาคาร นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า
1. ตามข้อกฎหมายที่ได้กำหนดว่าห้างหุ้นส่วนสามัญให้หมายถึง บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้จากกิจการที่ทำนั้น และได้มีคำชี้แจงว่าการเข้าร่วมเปิดบัญชีธนาคาร เช่น เงินฝากบัญชีนางสาว ก และนางสาว ข ถือเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ทำให้สมาคมธนาคารไทยมีความเข้าใจว่า การเปิดบัญชีเงินฝากร่วมกันทุกกรณีจะเข้าลักษณะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งหากมีการแบ่งดอกเบี้ยที่ได้รับ ผู้รับจะต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไปอีกครั้งหนึ่ง โดยที่สมาคมธนาคารไทยได้มีหนังสือถึงธนาคารที่เป็นสมาชิกให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกค้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวนั้น
2. กรมสรรพากรขอเรียนชี้แจง ดังนี้
2.1 กรณีการฝากเงินที่เป็นบัญชีเงินฝากร่วมกัน โดยมีเจตนาที่จะเป็นการออมภายในครอบครัว เช่น พ่อและหรือแม่ฝากเงินเพื่อลูก ดอกเบี้ยที่ได้รับสามารถเลือกใช้สิทธิถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 โดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณในแบบแสดงรายการภาษีในตอนปลายปี และดอกเบี้ยที่ลูกได้รับไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไปอีกครั้งหนึ่ง
2.2 กรณีการฝากเงินที่เป็นบัญชีเงินฝากร่วมกันของสามีและภรรยา จะไม่เข้าลักษณะเป็นการเสียภาษีในรูปห้างหุ้นส่วนสามัญ ทั้งนี้ ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถือเป็นเงินได้ของสามีหรือภรรยาก็ได้ และสามารถเลือกใช้สิทธิถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 โดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณในแบบแสดงรายการภาษีในตอนปลายปี และดอกเบี้ยที่ได้รับไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไปอีกครั้งหนึ่งเช่นกัน
2.3 สำหรับกรณีการฝากเงินที่เป็นบัญชีเงินฝากร่วมกันในลักษณะอื่น ๆ เช่น นำเงินไปฝากร่วมกับบุคคลอื่น จะเข้าลักษณะเป็นการเสียภาษีในรูปห้างหุ้นส่วนสามัญ ทั้งนี้ ห้างหุ้นส่วนสามัญสามารถเลือกใช้สิทธิถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 โดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีในแบบแสดงรายการภาษีในตอนปลายปี แต่เมื่อมีการแบ่งดอกเบี้ยที่ได้รับ หุ้นส่วนแต่ละคนจะต้องนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไปอีก ครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ หากเป็นกรณีการแบ่งเงินต้นที่ฝากจะไม่ใช่เงินได้พึงประเมินที่ต้องนำไปเสียภาษีเงินได้
2.4 กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญเลือกใช้สิทธิถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 และไม่นำมารวมคำนวณภาษีในแบบแสดงรายการภาษีในตอนปลายปี ห้างหุ้นส่วนสามัญนั้นไม่ต้องจัดทำบัญชีแสดงรายได้และรายจ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญ เพื่อยื่นต่อกรมสรรพากรแต่อย่างใด
เรื่อง ความเข้าใจเกี่ยวกับภาระภาษีกรณีเงินฝากร่วมกัน
ตามที่กรมสรรพากรได้มีการแก้ไขกฎหมายโดยการตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 39) พ.ศ. 2557 ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติจัดเก็บจากดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากร่วมกันที่ได้รับจากธนาคาร นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า
1. ตามข้อกฎหมายที่ได้กำหนดว่าห้างหุ้นส่วนสามัญให้หมายถึง บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้จากกิจการที่ทำนั้น และได้มีคำชี้แจงว่าการเข้าร่วมเปิดบัญชีธนาคาร เช่น เงินฝากบัญชีนางสาว ก และนางสาว ข ถือเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ทำให้สมาคมธนาคารไทยมีความเข้าใจว่า การเปิดบัญชีเงินฝากร่วมกันทุกกรณีจะเข้าลักษณะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งหากมีการแบ่งดอกเบี้ยที่ได้รับ ผู้รับจะต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไปอีกครั้งหนึ่ง โดยที่สมาคมธนาคารไทยได้มีหนังสือถึงธนาคารที่เป็นสมาชิกให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกค้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวนั้น
2. กรมสรรพากรขอเรียนชี้แจง ดังนี้
2.1 กรณีการฝากเงินที่เป็นบัญชีเงินฝากร่วมกัน โดยมีเจตนาที่จะเป็นการออมภายในครอบครัว เช่น พ่อและหรือแม่ฝากเงินเพื่อลูก ดอกเบี้ยที่ได้รับสามารถเลือกใช้สิทธิถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 โดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณในแบบแสดงรายการภาษีในตอนปลายปี และดอกเบี้ยที่ลูกได้รับไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไปอีกครั้งหนึ่ง
2.2 กรณีการฝากเงินที่เป็นบัญชีเงินฝากร่วมกันของสามีและภรรยา จะไม่เข้าลักษณะเป็นการเสียภาษีในรูปห้างหุ้นส่วนสามัญ ทั้งนี้ ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถือเป็นเงินได้ของสามีหรือภรรยาก็ได้ และสามารถเลือกใช้สิทธิถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 โดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณในแบบแสดงรายการภาษีในตอนปลายปี และดอกเบี้ยที่ได้รับไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไปอีกครั้งหนึ่งเช่นกัน
2.3 สำหรับกรณีการฝากเงินที่เป็นบัญชีเงินฝากร่วมกันในลักษณะอื่น ๆ เช่น นำเงินไปฝากร่วมกับบุคคลอื่น จะเข้าลักษณะเป็นการเสียภาษีในรูปห้างหุ้นส่วนสามัญ ทั้งนี้ ห้างหุ้นส่วนสามัญสามารถเลือกใช้สิทธิถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 โดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีในแบบแสดงรายการภาษีในตอนปลายปี แต่เมื่อมีการแบ่งดอกเบี้ยที่ได้รับ หุ้นส่วนแต่ละคนจะต้องนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไปอีก ครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ หากเป็นกรณีการแบ่งเงินต้นที่ฝากจะไม่ใช่เงินได้พึงประเมินที่ต้องนำไปเสียภาษีเงินได้
2.4 กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญเลือกใช้สิทธิถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 และไม่นำมารวมคำนวณภาษีในแบบแสดงรายการภาษีในตอนปลายปี ห้างหุ้นส่วนสามัญนั้นไม่ต้องจัดทำบัญชีแสดงรายได้และรายจ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญ เพื่อยื่นต่อกรมสรรพากรแต่อย่างใด
วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีกรรมสิทธิร่วมกันในอสังหาริมทรัพย์
ที่มา FanPages :- TAX Station
1) กรณีถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันเนื่องจากการได้รับมรดกมาหรือการให้โดยเสน่หา การครอบครองปรปักษ์หรือจากการที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ให้บุคคลอื่นเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมในภายหลัง หากให้เช่าอสังหาริมทรัพย์จะต้องเสียภาษีในนามห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล แต่ถ้าหากขายไปให้แยกเงินได้ตามส่วนของแต่ละคนเพื่อเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดาแต่ละคน ไม่ต้องเสียภาษีในนามห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล
2) กรณีกรรมสิทธิ์รวมกันเกิดขึ้นเนื่องจากการนิติกรรมซื้อขาย ขายฝาก แลกเปลี่ยน โดยถือกรรมสิทธิ์รวมพร้อมกันให้เช่าหรือขายอสังหาริมทรัพย์ให้เสียในนามห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล
3) แต่หากไม่มีการถือกรรมสิทธิ์รวมพร้อมกันตาม 2) ตอนให้เช่าให้เสียในนามห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล แต่ถ้าขายให้แยกเงินได้ตามส่วนของแต่ละคนเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่ละคน ไม่ต้องเสียภาษีในนามห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล
ตามแนวคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.100/2543
คำสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 100/2543
เรื่อง การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์ กรณีการขาย การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์
---------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทาง ปฏิบัติในการตรวจและแนะนำสำหรับ การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์ กรณีการขาย การโอนกรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.9/2528 เรื่อง การโอนกรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองใน อสังหาริมทรัพย์ กรณีที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้และกรณีที่เจ้าพนัก งานประเมินไม่ต้องกำหนดราคาขาย ลงวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2528
ข้อ 2 คำว่า "ขาย" ในการจัดเก็บภาษีเงินได้ หมายความรวมถึง ขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้ โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าด้วยวิธีใด และไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ไม่รวมถึง
(1) การขาย แลกเปลี่ยน ให้ โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองใน อสังหาริมทรัพย์ให้แก่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจที่มิใช่บริษัทหรือห้าง หุ้นส่วนนิติบุคคลในกรณีดังต่อไปนี้
(ก) การให้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริม ทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทน
(ข) การแลกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์กับส่วน ราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่มิใช่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเฉพาะในกรณีที่ส่วนราชการหรือ รัฐวิสาหกิจนั้น มิได้มีการจ่ายค่าตอบแทนเป็นอย่างอื่น นอกจากอสังหาริมทรัพย์ที่แลกเปลี่ยนนั้น
(2) การโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาท ซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์
ข้อ 3 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หมายถึง บุคคลธรรมดา ผู้ถึงแก่ความตาย กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ข้อ 4 การขายอสังหาริมทรัพย์ กรณีที่มีการถือกรรมสิทธ์รวม ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาตามข้อ 3 มีหน้าที่ต้องเสียภาษี ดังนี้
(1) กรณีการถือกรรมสิทธิ์รวมเกิดขึ้นเนื่องจาก การได้รับมรดก การให้โดยเสน่หา การครอบครองปรปักษ์ หรือจากการที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ให้ บุคคลอื่นเข้าถือกรรมสิทธิ์ รวมในภายหลัง ให้บุคคลแต่ละคนที่ถือกรรมสิทธิ์ รวมเสียภาษีเงินได้ในฐานะบุคคลธรรมดา โดยแยกเงินได้ตามส่วนของแต่ละ คนที่มีส่วนอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์รวม
(2) กรณีการถือกรรมสิทธิ์รวมเกิดขึ้นเนื่องจากการทำนิติกรรมซื้อขาย ขายฝาก หรือแลกเปลี่ยน โดยเข้าถือกรรมสิทธ์รวมพร้อมกัน ให้เสียภาษีเงินได้ในฐานะห้างหุ้นส่วน สามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล แต่หากไม่ได้มีการเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมพร้อมกัน ให้บุคคลแต่ละคนที่ถือกรรมสิทธิ์ รวมเสียภาษีเงินได้ในฐานะบุคคลธรรมดา โดยแยกเงิน ได้ตามส่วนของแต่ละคนที่ มีส่วนอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์รวม
ข้อ 5 การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ให้คำนวณ จากราคาขาย อสังหาริมทรัพย์ที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดขึ้น ในกรณีโอนกรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดย มีหรือไม่มีค่าตอบแทน ไม่ว่าราคาที่ซื้อขายกันตาม ปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์นั้นจะ เป็นอย่างไรก็ตาม โดยถือตามราคาประเมิน ทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจด ทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น ตามมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ 6 วิธีปฏิบัติในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้จ่ายเงินได้ให้แก่ผู้รับซึ่งขาย อสังหาริมทรัพย์ มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งเงินภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน ดังนี้
(1) สำหรับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของเงินได้ เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหาร ด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสีย
(2) สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจาก (1) ให้หักค่าใช้จ่าย เป็นการเหมาตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วย การกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมินจาก การขายอสังหาริมทรัพย์ เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้ว หารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้ เป็นเงินภาษีที่ต้องเสีย
คำว่า "จำนวนปีที่ถือครอง" ตามวรรคหนึ่ง (1) และ (2) หมายถึง จำนวนปี นับตั้งแต่ปีที่ได้กรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ถึงปีที่โอนกรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าเกินสิบปีให้นับเพียงสิบปี และเศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี
กรณีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทน ถือว่าผู้โอนเป็นผู้จ่ายเงินได้ ผู้โอนมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งเงินภาษีต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและ นิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน โดยถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามวรรคหนึ่ง
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตาม (1) และ (2) เฉพาะกรณีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทาง การค้าหรือหากำไรที่ต้องชำระใน ขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ณ สำนักงานที่ดิน เมื่อคำนวณภาษีแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาขาย
ข้อ 7 ผู้มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามข้อ 6 จะเลือกเสียภาษีโดยไม่นำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น ตามมาตรา 48(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากรได้ ดังนี้
(1) เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก อสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับ จากการให้โดยเสน่หา หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดย มิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย นำส่งไว้แล้ว
(2) เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แต่ได้ยื่นรายการแสดงเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ดังกล่าว และคำนวณภาษีโดยหักค่า ใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร โดยจำนวนภาษีที่คำนวณได้ต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาขาย และเมื่อนำภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามข้อ 6 มาหักออกแล้วมีภาษีที่ชำระไว้เกิน ผู้มีเงินได้มีสิทธิขอคืนภาษี
เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง หมายความรวมถึง เงินได้จาก การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะเป็น การขายอสังหาริมทรัพย์ ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ.2541 ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งตามข้อ 6 ไว้แล้ว
ข้อ 8 ผู้มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 4(6) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ.2541 ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับ แต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย นำส่งตามข้อ 6 และได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้ว เมื่อถึงกำหนด ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้จากการขาย อสังหาริมทรัพย์ ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เฉพาะกรณีผู้มีเงินได้ดังกล่าว ไม่ขอรับเงินภาษีที่ ถูกหักไว้นั้นคืนหรือไม่ขอ เครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ข้อ 9 ผู้มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มา โดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งไว้ตามข้อ 6 ต้องนำเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มา รวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นตามมาตรา 48(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยต้องคำนวณ หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร
ข้อ 10 การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ดังต่อไปนี้ ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(1) การโอนโดยทางมรดกซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิ ครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ให้แก่ทายาท ไม่ว่าจะเป็นทายาทโดยธรรมหรือทายาท โดยพินัยกรรม
(2) การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองใน อสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุตรโดยชอบ ด้วยกฎหมายของตนเองโดยไม่มีค่าตอบแทน บุตรชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไม่รวมถึงบุตร บุญธรรม
(3) การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองใน อสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรือ ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา หรือการปกครองท้องถิ่นอื่นที่มี กฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ ทั้งนี้ เฉพาะการโอนในส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น
(4) การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่มิใช่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เฉพาะกรณีที่ผู้โอนได้รับค่าตอบแทนเป็นสิทธิในการใช้ทรัพย์สินที่โอนนั้นเพื่อกิจการผลิตสินค้าของตนเอง
(5) การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วย การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ เฉพาะที่ดินที่ต้องเวนคืนและ อสังหาริมทรัพย์อื่นบนที่ดินที่ต้องเวนคืน
(6) กรณีสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ต้องตกไปเป็นของบุคคลอื่นตามมาตรา 1367 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือโดยการถูกแย่งการครอบครองและมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืน ซึ่งการครอบครองนั้นภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือโดยการสละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถืออสังหาริมทรัพย์นั้นต่อไปซึ่ง เป็นเหตุให้การครอบครองสิ้นสุดลงตามมาตรา 1377 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เจ้าของสิทธิครอบครองเดิมไม่อยู่ ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้
อสังหาริมทรัพย์ที่บุคคลอื่นได้สิทธิครอบ ครองไปตามวรรคหนึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้สิทธิครอบครองจะต้องนำมา คำนวณภาษีเงินได้ตามปกติ
(7) กรณีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ต้องตกไปเป็น กรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นโดย การครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เจ้าของ กรรมสิทธิ์เดิมไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้
อสังหาริมทรัพย์ที่ได้เป็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามวรรค หนึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรของผู้ได้กรรมสิทธิ์ ซึ่งจะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ตามปกติ
(8) การแบ่งสินสมรสที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่ง มีราคาของแต่ละฝ่ายเท่ากัน ไม่ถือเป็นการ "ขาย" ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
(9) การแก้ไขหรือการเพิ่มเติมชื่อคู่สมรสในเอกสารสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสินสมรสไม่ถือเป็นการ "ขาย" ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
(10) กรณีครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ใกล้เคียงกันเนื้อที่เท่ากันแต่ถือโฉนดที่ดินไว้ผิดสับเปลี่ยนกัน เมื่อได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขชื่อในโฉนดให้เป็นการถูกต้องแล้วโดยมิได้มีเจตนาแลกเปลี่ยนที่ดินกัน ไม่ถือเป็นการ "ขาย" ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
(11) กรณีปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าเป็นตัวแทนถือกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์แทนตัวการ เมื่อตัวแทนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์คืนให้แก่ตัวการ โดยไม่ได้รับเงินหรือประโยชน์อื่นใดเป็นการตอบแทน การโอนดังกล่าว ไม่ถือเป็นการ "ขาย" ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
ข้อ 11 การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ในกรณีดังต่อไปนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องกำหนดจำนวน เงินเพิ่มขึ้นในการจัดเก็บอากรแสตมป์ ตามมาตรา 123 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
(1) กรณีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดย การขาย ให้แก่ส่วนราชการ องค์การของรัฐบาลตามความในมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจ ให้ถือว่าจำนวนเงินที่ผู้จ่าย เงินดังกล่าวจ่ายนั้นเป็นจำนวนเงิน ที่ได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นตามปกติแล้ว
(2) กรณีการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งส่วนราชการหรือหน่วยงานตาม ที่กล่าวใน (1) เป็นผู้ทอดตลาด ให้ถือว่าจำนวนเงินค่าขายทอดตลาดนั้น เป็นจำนวนเงินที่ได้ รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นตามปกติแล้ว
(3) กรณีที่มีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมาย ว่าด้วยการเวนคืนอสังหา ริมทรัพย์ ให้ถือว่าจำนวนเงินค่าทดแทนจาก การเวนคืนดังกล่าวเป็นจำนวนเงินที่ได้รับจาก การขายอสังหาริมทรัพย์นั้นตามปกติแล้ว
ข้อ 12 ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือตอบข้อหารือ หรือทางปฏิบัติใดที่ขัด หรือแย้งกับคำสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
สั่ง ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
สมชาย ศรีสันติสุข
ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพรักษาราชการแทน
อธิบดีกรมสรรพากร
ปล.
กระผมขอขอบคุณอาจารย์ในการนำสอนต่อสาธารณะชนเท่านั้น
อาจารย์ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับกิจการ
ทางสำนักงานบัญชีเห็นว่ามีประโยชน์จึงนำเผยแพร่เท่านั้น นะครับ
วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
คณะบุุคคล หุ้นส่วนบางคนขอแบ่งจ่ายกำไร บางคนยังไม่รับได้หรือไม่ การสะสมไม่จ่ายส่วนแบ่งกำไร ผลจะเป็นอย่างไร
ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์
อาจารย์ Suriya Teerawattanasarn ได้โพสต์ไปบนไทม์ไลน์ "สุเทพ พงษ์พิทักษ์" เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 22:22 น. ว่า
"ขอเรียนสอบถาม อ.สุเทพ ว่า
กำไรซึ่งได้จัดสรรแบ่งระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนเรียบร้อยแล้ว แต่มีผู้เป็นหุ้นส่วนบางคนยังจะไม่ขอรับเงินส่วนแบ่ง จะขอฝากไว้ในบัญชีเงินฝากของห้างฯ ไว้ก่อน
ส่วนแบ่งกำไรส่วนนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องนำมาคำนวณเสียภาษีหรือไม่ครับ"
กำไรซึ่งได้จัดสรรแบ่งระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนเรียบร้อยแล้ว แต่มีผู้เป็นหุ้นส่วนบางคนยังจะไม่ขอรับเงินส่วนแบ่ง จะขอฝากไว้ในบัญชีเงินฝากของห้างฯ ไว้ก่อน
ส่วนแบ่งกำไรส่วนนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องนำมาคำนวณเสียภาษีหรือไม่ครับ"
เรียน อาจารย์ Suriya Teerawattanasarn
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
กรณีตามข้อเท็จจริงที่แจ้งไป โดยส่วนตัว ให้ถือเป็นเงินได้ของผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้น เสมือนหนึ่งว่าได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไรไปแล้ว (Constructive Receipt) ซึ่งต่างจากกรณีห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ต้องได้รyบเงินส่วนแบ่งของกำไรไปจริง จึงจะถือว่าได้รับเงินได้ เนื่องจากกรณีของห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับผู้เป้นหุ้นส่วนนั้น ถือเป็นคะหน่วยภาษีแยกต่างหากจากกันโดยชัดแจ้ง แต่สำหรับห้างหุ้นส่วนสามัญมีความสัมพันธ์เสมือนเป็นบุคคลธรรมดาคนเดียว โดยไม่มีการแบ่งแยก ซึ่งมีคำกล่าวอ้างบัญญัติไว้ในมาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
ดังนั้น เงินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นฝากไว้ย่อมถือได้ว่า เป็น "เงินเพิ่มทุน" ของผุ้เป็นหุ้นส่วนคนที่ฝากเงินไว้ ทั้งนี้ กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญสามารถที่จะเพิ่มทุนได้ตลอดเวลา เว้นแต่จะมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น เช่น ตกลงให้ถือเป็นเงินกู้ยืมจากผู้เป็นหุ้นส่วน เป็นต้น
อ้างอิงเพิ่มเติม
มาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้บัญญัติไว้ดังนี้
“ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกินจำนวนตาม (1) ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อของห้างหุ้นส่วน หรือคณะบุคคลนั้นที่ได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้วภายในกำหนดเวลาและตามแบบเช่นเดียวกับวรรคก่อน การเสียภาษีในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการรับผิดเสียภาษีในชื่อของห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นจากยอดเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นเสมือนเป็นบุคคลคนเดียวไม่มีการแบ่งแยก ทั้งนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคน ไม่จำต้องยื่นรายการเงินได้สำหรับจำนวนเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเพื่อเสียภาษีอีก แต่ถ้าห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นมีภาษีค้างชำระให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลทุกคนร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย”
“ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกินจำนวนตาม (1) ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อของห้างหุ้นส่วน หรือคณะบุคคลนั้นที่ได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้วภายในกำหนดเวลาและตามแบบเช่นเดียวกับวรรคก่อน การเสียภาษีในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการรับผิดเสียภาษีในชื่อของห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นจากยอดเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นเสมือนเป็นบุคคลคนเดียวไม่มีการแบ่งแยก ทั้งนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคน ไม่จำต้องยื่นรายการเงินได้สำหรับจำนวนเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเพื่อเสียภาษีอีก แต่ถ้าห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นมีภาษีค้างชำระให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลทุกคนร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย”
สรุปความเห็นส่วนตัว
อย่าลืมว่า ตั้งแต่ 1 มค 58 ส่วนแบ่งกำไร ไม่ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่าย แต่ต้องนำไปเป็นเงินได้ส่วนแบ่งกำไร ประเภทเงินได้ 40 (8) ซึ่งไม่สามารถหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายภาษีใดๆ ได้ และต้องคำนวณด้วยอัตราก้าวหน้าเท่านั้นไม่ได้ให้เลือกแบบเงินปันผลหักร้อยละ 10 แล้วจบได้แบบ บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนะครับ ถ้าสะสมซักคนละ 3 ล้าน อัตราภาษีจ่ายร้อยละ 37 นะครับต้องควักเงินสดๆ จ่ายนะครับ
วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
แนวปฎิบัติการกรมสรรพากรตรวจสอบคณะบุุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ พร้อมตัวอย่างการกรอกแบบเพื่อเสียภาษีถูกต้องและประหยัด
ค าสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.149/2558
เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/kormor/970658dn149.pdf
บริษัท
เอส.เค.แอคเคาน์ติ้งอินฟอร์เมชั่น จำกัด
85/151
ถนนแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 27
ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด นนทบุรี 11120 โทร 02-575-3007-8
ให้บริการดังนี้
1.รับจดทะเบียนบริษัท
ทำบัญชี เคลียภาษีเมื่อกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบ แจ้งเลิกกิจการ
2. .รับแก้ปัญหาหมายเรียกตำรวจไม่ได้ยื่นงบการเงิน
จดหมายถอนทะเบียนบริษัท
3.รับวางระบบบัญชี
โดยใช้โปรแกรมบัญชี EXPRESS โดยสามารถประยุกต์ให้เข้ากับ
งานโครงการ สินค้านำเข้า ผู้ผลิตสินค้า กิจการที่ีมีสาขา และสำนักงานใหญ่
นำเสนอ:- สำนักงานบัญชี บจก.เอส.เค.แอคเคาน์ติ้งอินฟอร์เมชั่น โทร 02-575-3007-8
วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558
ภาษีคณะบุคคล โดย ครูสุเทพ พงษ์พิทักษ์
ที่มา Fanpages :- ครูสุเทพ พงษ์พิทักษ์
ย้ำกันอีกครั้งว่า มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ 2558 หรือวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ดังนี้
1. การกำหนดนิยามศัพท์คำว่า “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้หมายความว่า “บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงกระทำการร่วมกัน อันมิใช่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ” เพื่อแยกแยะการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของการกระทำกิจการร่วมกันของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่เคยเหมือกันของ “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” และ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ออกต่างหากจากกันโดยเด็ดขาด ดังนั้น แม้จะได้ชื่อว่า “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” หากมีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันผลกำไรอันเกิดจากการประกอบกิจการร่วมกัน ก็ย่อมถือเป็น “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล”
2. หากประกอบกิจการในรูปของ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ต้องเป็นกรณีที่มีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น แต่หากประกอบกิจการในรูปของ “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ต้องต้องเป็นกรณีที่มีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น
3. นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ไม่ว่าจะใช้ชื่อว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” หรือจะได้ชื่อว่า “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ก็ตามหากมีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันผลกำไรอันเกิดจากการประกอบกิจการร่วมกัน ก็ย่อมต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในฐานะ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ในชั้นที่หนึ่งก่อน และเมื่อมีการแบ่งปันผลกำไรอันเกิดจากการประกอบกิจการดังกล่าว เมื่อใด ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนที่มิใช่นิติบุคคลนั้น ต้องนำเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง เพราะได้ยกเลิกการยกเว้นเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลตามมาตรา 42 (14) แห่งประมวลรัษฎากรแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ดังกล่าว
4. สมมติ ในปี พ.ศ. 2557 ห้างหุ้นส่วนสามัญ ก. ข. มีเงินได้พึงประเมินจากประกอบโรคศิลปะ จำนวน 2,000,000 บาท ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากำหนดให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 60 ของเงินได้ แล้วหักลดหย่อนส่วนตัวหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนคนละ 30,000 บาท คงเหลือเงินได้สุทธิ 740,000 บาท สำหรับเงินได้สุทธิจำนวน 150,000 บาท แรกได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ คิดเป็นภาษีเงินได้ที่ต้องชำระจำนวน 63,500 บาท
5. ในที่นี้ กำหนดให้ห้างหุ้นส่วนสามัญดังกล่าว ไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงมาหักเลย จำนวนกำไรสะสมคงเหลือที่ต้องแสดงใน “รายงานบัญชีรับ – จ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ยื่นพร้อมกับแบบ ภ.ง.ด.90 สำหรับปีภาษี 2557 ที่ต้องยื่นภายในเดือนมีนาคม 2558 คือ 2,000,000 บาท เท่าที่ได้รับ เพราะการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาเป็นหลักเกณฑ์เพื่อการคำนวณภาษีเงินได้เท่านั้น มิใช่ค่าใช้จ่ายจริง ดังนั้น หากต่อมาในปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป ห้างหุ้นส่วนได้นำจำนวนกำไรดังกล่าวมาแบ่งปันกัน เช่น คนละ (2,000,000 - 63,500)/2 = 963,150 บาท
6. ผู้เป็นหุ้นส่วนแต่ละคนต้องนำเงินได้พึงประเมินที่เป็นเงินส่วนแบ่งของกำไร ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้อีกครั้งหนึ่ง
กรณีดังกล่าว นับว่าเป็นความซ้ำซ้อนอย่างยิ่งหากไม่หาแนวทางแก้ไขปํญหานี้ เช่น ให้ทุกอย่างที่กระทำในนามของห้างหุ้นส่วนสามัญจดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในปี 2557 และไม่กระทำกิจการในนามของห้างฯ อีกต่อไป เป็นต้น
อ้างอิง
ย้ำกันอีกครั้งว่า มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ 2558 หรือวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ดังนี้
1. การกำหนดนิยามศัพท์คำว่า “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้หมายความว่า “บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงกระทำการร่วมกัน อันมิใช่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ” เพื่อแยกแยะการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของการกระทำกิจการร่วมกันของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่เคยเหมือกันของ “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” และ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ออกต่างหากจากกันโดยเด็ดขาด ดังนั้น แม้จะได้ชื่อว่า “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” หากมีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันผลกำไรอันเกิดจากการประกอบกิจการร่วมกัน ก็ย่อมถือเป็น “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล”
2. หากประกอบกิจการในรูปของ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ต้องเป็นกรณีที่มีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น แต่หากประกอบกิจการในรูปของ “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ต้องต้องเป็นกรณีที่มีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น
3. นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ไม่ว่าจะใช้ชื่อว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” หรือจะได้ชื่อว่า “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ก็ตามหากมีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันผลกำไรอันเกิดจากการประกอบกิจการร่วมกัน ก็ย่อมต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในฐานะ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ในชั้นที่หนึ่งก่อน และเมื่อมีการแบ่งปันผลกำไรอันเกิดจากการประกอบกิจการดังกล่าว เมื่อใด ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนที่มิใช่นิติบุคคลนั้น ต้องนำเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง เพราะได้ยกเลิกการยกเว้นเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลตามมาตรา 42 (14) แห่งประมวลรัษฎากรแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ดังกล่าว
4. สมมติ ในปี พ.ศ. 2557 ห้างหุ้นส่วนสามัญ ก. ข. มีเงินได้พึงประเมินจากประกอบโรคศิลปะ จำนวน 2,000,000 บาท ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากำหนดให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 60 ของเงินได้ แล้วหักลดหย่อนส่วนตัวหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนคนละ 30,000 บาท คงเหลือเงินได้สุทธิ 740,000 บาท สำหรับเงินได้สุทธิจำนวน 150,000 บาท แรกได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ คิดเป็นภาษีเงินได้ที่ต้องชำระจำนวน 63,500 บาท
5. ในที่นี้ กำหนดให้ห้างหุ้นส่วนสามัญดังกล่าว ไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงมาหักเลย จำนวนกำไรสะสมคงเหลือที่ต้องแสดงใน “รายงานบัญชีรับ – จ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ยื่นพร้อมกับแบบ ภ.ง.ด.90 สำหรับปีภาษี 2557 ที่ต้องยื่นภายในเดือนมีนาคม 2558 คือ 2,000,000 บาท เท่าที่ได้รับ เพราะการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาเป็นหลักเกณฑ์เพื่อการคำนวณภาษีเงินได้เท่านั้น มิใช่ค่าใช้จ่ายจริง ดังนั้น หากต่อมาในปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป ห้างหุ้นส่วนได้นำจำนวนกำไรดังกล่าวมาแบ่งปันกัน เช่น คนละ (2,000,000 - 63,500)/2 = 963,150 บาท
6. ผู้เป็นหุ้นส่วนแต่ละคนต้องนำเงินได้พึงประเมินที่เป็นเงินส่วนแบ่งของกำไร ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้อีกครั้งหนึ่ง
กรณีดังกล่าว นับว่าเป็นความซ้ำซ้อนอย่างยิ่งหากไม่หาแนวทางแก้ไขปํญหานี้ เช่น ให้ทุกอย่างที่กระทำในนามของห้างหุ้นส่วนสามัญจดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในปี 2557 และไม่กระทำกิจการในนามของห้างฯ อีกต่อไป เป็นต้น
อ้างอิง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ ๓ ลักษณะ ๒๒ หุ้นส่วนและบริษัท |
ส่วนที่ ๑ |
|
วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558
วิธีกรอกเพื่อให้ได้สิทธิ์ยกเว้นภาษีปี 2557 รายงานบัญชีรับ – จ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ที่มา Fanpages:- ครูสุเทพ พงษ์พิทักษ์
รายงานบัญชีรับ – จ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ปล. ส่วนแบ่งกำไรในปี 2557 ยังคงได้รับการยกเว้นภาษี แต่ส่วนแบ่งกำไร ในปี 2558 ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีแล้วนะครับ
ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 17 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 249) เรื่อง กำหนดให้ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ลงวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557 โดยให้มีผลใช้บังคบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป จึงขอนำมาสรุปและแจ้งให้เพื่อนๆ ใน fb ได้รับทราบดังนี้
1. วัตถุประสงค์
ตามประกาศฉบับดักล่าวได้อ้างเหตุผลในการออกประกาศว่า "เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร" ซึ่งในที่นี้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ตามประกาศฉบับดักล่าวได้อ้างเหตุผลในการออกประกาศว่า "เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร" ซึ่งในที่นี้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
2. ให้ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล จัดทำรายงานบัญชีรับ – จ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ประจำปีภาษี 2557 เป็นต้นไป ต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศดังกล่าว โดยให้แสดงรายการดังต่อไปนี้ เช่น รายงานบัญชีรับ – จ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ประจำปีภาษี 2557
(1) ยอดเงินคงเหลือยกมาจากปีภาษีก่อน ให้แสดงยอดเงินคงเหลือยกมาจากปี 2556 ตามที่ยกมาจริง หากห้างฯ ได้แบ่งส่วนแบ่งของกำไรสำหรับปี 2556 และหรือปีภาษ๊ก่อนหน้านั้นไปหมดสิ้นแล้ว ให้แสดงยอดคงเหลือ -0-
(2) ยอดรวมรายรับระหว่างปีภาษี ให้แสดงจำนวนรวมของยอดรายรับระหว่างปีภาษี 2557 โดยให้แสดงยอดรวมเพียงยอดเดียว ทั้งในส่วนที่ได้รับยกเว้นและส่วนที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(3) ยอดรวมรายจ่ายระหว่างปีภาษี ให้แสดงจำนวนรวมของยอดรายจ่ายระหว่างปีภาษี 2557 โดยให้แสดงยอดรวมเพียงยอดเดียว เฉพาะในส่วนของรายจ่ายที่ห้างฯ ได้จ่ายไปจริง ทีั้งนี้ เฉพาะรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของห้างฯ เท่านั้น
(4) ส่วนแบ่งเงินกำไรหรือส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคล ให้แสดงส่วนแบ่งเงินกำไรหรือส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายให้ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้้างหุ้นส่วนสามัญ หรือบุคคลในคณะบุคคล ในระหว่างปีภาษี 2557 โดยให้แสดงยอดรวมเพียงยอดเดียว
5. ยอดเงินคงเหลือยกไปปีภาษีถัดไป ให้แสดงยอดเงินคงเหลือ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 ซึ่งเป็นยอดคงเหลือยที่จะใช้เป็นฐานในการแบ่งเงินส่วนแบ่งของกำไรต่อไป (ถ้ามี)
รายการยอดเงินได้คงเหลือยกไป ปรากฏตาม
(ก).บัญชีธนาคา...................................สาขา......................................
ชื่อบัญชี......................................เลขบัญชี........................................
(ข) เงินสด.....................................................บาท
ที้งนี้ ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ต้องลงนามรับรองว่าข้อความข้างต้นถูกต้องและเป็นความจริงทุกประการ
รายการยอดเงินได้คงเหลือยกไป ปรากฏตาม
(ก).บัญชีธนาคา...................................สาขา......................................
ชื่อบัญชี......................................เลขบัญชี........................................
(ข) เงินสด.....................................................บาท
ที้งนี้ ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ต้องลงนามรับรองว่าข้อความข้างต้นถูกต้องและเป็นความจริงทุกประการ
3. การจัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลดังกล่าว ให้ทำเป็นภาษาไทย ถ้าทำเป็นภาษาต่างประเทศให้มีภาษาไทยกำกับ
4. ให้ยื่นบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ประจำปีภาษี 2557 ต่อเจ้าพนักงานประเมินพร้อมกับการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ของปีภาษี 2557 ภายในเดือนมีนาคม 2558 นี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)