แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ค่าใช้จ่ายทางภาษี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ค่าใช้จ่ายทางภาษี แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ที่ไม่ใช่ชื่อกิจการจะนำมาบันทึกค่าใช้จ่ายได้อย่างไร

เงื่อนไขเพิ่มเติม
        รายจ่ายที่เกี่ยวข้อง กรณีเช่าสถานประกอบการซึ่ง เป็นที่อยู่อาศัยของกรรมการด้วย หรือกรณีใช้ทรัพย์สินร่วมกัน กับกิจการหรือบุคคลอื่น กรณีต้องการนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีมาถือเป็นภาษีซื้อของกิจการ
        หมายเหตุ - ให้เฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายของ กิจการได้ตามเกณฑ์ที่เหมาะสม

กรณีลงภาษีซื้อหักจากภาษีขาย

หลักฐานที่ควรมีประกอบ

1) สัญญาเช่าอาคาร ซึ่งระบุ ให้ผู้เช่าเป็นผู้ชำระค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา
2) ควรติดต่อกับการไฟฟ้าฯ หรือการประปาฯ เพื่อขอ เพิ่มชื่อของบริษัทฯ ลงใน ใบก ากับภาษี โดยเพิ่มเติม ข้อความว่า "จ่ายชำระ ค่าบริการโดย บริษัท..." ลงไปด้วย บริษัทฯ มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบก ากับภาษี ดังกล่าว ไปถือเป็นภาษีซื้อใน การค านวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 ได้ (หนังสือที่กค 0702/พ./1319 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552)


เลขที่หนังสือ: กค 0702/พ./1319
วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2552
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้า
ข้อกฎหมาย: มาตรา 77/1(20) มาตรา 82/5(1) และมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ          บริษัท B (บริษัทฯ) ประกอบกิจการรับจ้างดำเนินการเกี่ยวกับระบบการผลิตน้ำประปาให้แก่บริษัท P ณ โรงผลิต น้ำประปา ของ P แล้วสูบเพื่อส่งน้ำประปาไปยังสถานีจ่ายน้ำ ซึ่งทำหน้าที่จ่ายน้ำประปาให้แก่ผู้บริโภค โดยมีระยะการผลิต ถึงปี พ.ศ. 2566 ในการดำเนินงานดังกล่าว บริษัทฯ ต้องเข้าไปดำเนินงานในสถานประกอบการของ P ได้แก่ สถานีจ่ายน้ำ สถานีเพิ่มแรงดัน และโรงกรองน้ำ โดยในสัญญาว่าจ้างกำหนดให้บริษัทฯ เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าเอง แต่ใบกำกับ ภาษีค่าไฟฟ้าระบุชื่อ ที่อยู่ของ P ซึ่งเป็นเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้า บริษัทฯ จึงมีความประสงค์จะขอจดเพิ่มสาขาตามสถานที่มิเตอร์ ไฟฟ้าติดตั้งอยู่ เพื่อบริษัทฯ จะนำใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้ามาใช้ได้อย่างถูกต้อง บริษัทฯ จึงขอหารือ ดังนี้
          1. บริษัทฯ สามารถขอจดเพิ่มสาขาตามสถานที่ที่ได้ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าได้หรือไม่
          2. หากดำเนินการตาม 1. ไม่ได้ บริษัทฯ จะขอเพิ่มชื่อบริษัทฯ ในใบกำกับภาษีของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (การไฟฟ้าฯ) แต่ที่อยู่ยังคงเป็นที่อยู่ตามสถานที่ตั้งของมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อที่บริษัทฯ สามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาใช้ได้หรือไม่
แนววินิจฉัย          1. กรณีตาม 1. เนื่องจากบริษัทฯ ใช้สถานประกอบการของผู้ว่าจ้างเพื่อให้บริการตามสัญญาที่บริษัทฯ มีต่อผู้ว่าจ้างเท่านั้น บริษัทฯ มิได้ใช้สถานที่ดังกล่าวเพื่อประกอบกิจการของตนเองเป็นการทั่วไป ดังนั้น สถานีจ่ายน้ำ สถานีเพิ่มแรงดันและโรงกรองน้ำ ที่ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า จึงไม่ใช่สถานประกอบการของบริษัทฯ ตามมาตรา 77/1 (20) แห่งประมวลรัษฎากร และบริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ ต้องแจ้งเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/7 แห่งประมวลรัษฎากร
          2. กรณีตาม 2. หากบริษัทฯ เป็นผู้จ่ายค่าไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฯ เองโดยตรงแต่ใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้าระบุชื่อ ที่อยู่ของ P บริษัทฯ ไม่มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าว มาถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 และ มาตรา 82/5(1) แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ดี หากบริษัทฯ ติดต่อกับการไฟฟ้าฯ เพื่อขอเพิ่มชื่อของบริษัทฯ ลงในใบกำกับภาษี โดยเพิ่มเติม ข้อความว่า "จ่ายชำระค่าบริการโดย บริษัท B" ลงไปด้วย บริษัทฯ มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าว ไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรได้
เลขตู้: 72/36421
clear-gif

กรณีลงภาษีซื้อเป็นค่าใช้จ่ายบวกกลับ

- สัญญาเช่า หมายเหตุ - ให้เฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายของ กิจการได้ตามเกณฑ์ที่เหมาะสม 

- ถ้าใบกำกับภาษีซื้อไม่ได้ เป็นชื่อของผู้เช่า ภาษีซื้อขอคืน ไม่ได้ หมายเหตุใบกำกับภาษีที่มิได้ระบุชื่อ ผู้ประกอบการนั้น ผู้ประกอบการไม่มี สิทธินำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็น ภาษีซื้อเพื่อหักจากภาษีขายในการ คำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 เนื่องจากใบก ากับภาษีดังกล่าวถือเป็น ภาษีซื้อต้องห้าม ตามมาตรา 82/5 (1) แต่ผู้ประกอบการมีสิทธินำค่าน้ำ ค่าไฟ ดังกล่าวมาเป็นค่าใช้จ่ายในการ คำนวณภาษีเงินได้ได้เนื่องจากเป็น ค่าใช้จ่ายเพื่อการหากำไรหรือเพื่อ กิจการโดยเฉพาะ ไม่ต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี แต่สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี ดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม บริษัทฯ ไม่มีสิทธิน ามาเป็นรายจ่ายใน การคำนวณหากำไรสุทธิได้ ตามมาตรา 65 ตรี(6 ทวิ) ทั้งนี้ตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการ ก าหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้ พึงประเมิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 (หนังสือที่ กค 0811(กม)/พ.277 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2542)



เลขที่หนังสือ: กค 0811(กม)/พ.277
วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2542
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม แนวทางปฏิบัติในการออกใบกำกับภาษีสำหรับกิจการรายย่อย
ข้อกฎหมาย: มาตรา 65 ตรี, มาตรา 82/3, มาตรา 82/5, มาตรา 86/4, มาตรา 86/6, มาตรา 87,
พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502, ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 7)
พ.ศ. 2534 ฯ และ (ฉบับที่ 32) พ.ศ. 2535 ฯ
ข้อหารือ: 1. การดำเนินกิจการขายอาหารหรือขายสินค้าเบ็ดเตล็ด และได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในอัตราร้อยละ 10.0 ไม่เคยมีรายรับเดือนใดถึง 100,000 บาท และขายสินค้าแต่ละครั้งไม่เกิน 500
บาท จะออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ โดยรวมมูลค่าการขายสินค้าวันละ 1 ฉบับได้หรือไม่
2. สถานที่ตั้งของกิจการไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้ประกอบการ ฉะนั้น ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำประปา
ค่าไฟฟ้าในการประกอบกิจการที่เป็นชื่อของเจ้าของสถานที่ ผู้ประกอบการมีสิทธินำใบเสร็จรับเงิน
ใบกำกับภาษีจากค่าใช้จ่ายดังกล่าว มาเป็นภาษีซื้อ เพื่อหักภาษีขายได้หรือไม่ และนำมาเป็นค่าใช้จ่าย
ปลายปีได้หรือไม่
3. หากผู้ประกอบการไปจดทะเบียนเป็นบริษัทฯ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีค่าน้ำค่าไฟ
ค่าโทรศัพท์ซึ่งเกิดจากการประกอบกิจการ แต่เป็นชื่อของบุคคลธรรมดา ที่อยู่ตรงกับที่อยู่ของบริษัทฯ ที่ได้
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ จะนำใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็นภาษีซื้อ และค่าใช้จ่าย
ของบริษัทได้หรือไม่เนื่องจากชื่อไม่ตรงกับบริษัทฯ ผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
4. กรณีตาม 3. จะนำใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็นภาษีซื้อไม่ได้ ต้องห้าม
ตามมาตรา 82/5 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่บริษัทฯ มีสิทธินำค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า
ดังกล่าว มาเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ได้ สำหรับภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวมีลักษณะเป็น
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระหรือพึงชำระ จึงต้องห้ามไม่ให้ถือเอาภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวมาเป็นรายจ่าย ใน
การคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร
แนววินิจฉัย: 1. กรณีตาม 1. หากผู้ประกอบการจดทะเบียนตามข้อเท็จจริงเป็นผู้ขายที่ทราบโดยชัดแจ้ง
ว่า เป็นการขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง และได้ขายในปริมาณ ซึ่งตามปกติวิสัยของผู้บริโภคนั้น จะนำ
สินค้าไปบริโภคหรือใช้สอยโดยมิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปขายต่อ หรือเป็นการให้บริการในลักษณะ
บริการรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก เข้าลักษณะเป็นกิจการค้าปลีกตามมาตรา 86/6 แห่ง
ประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 32)ฯ ลงวันที่
8 เมษายน พ.ศ. 2535 ผู้ประกอบการดังกล่าว มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อตามมาตรา 86/6 แห่ง
ประมวลรัษฎากรได้ เว้นแต่ผู้ซื้อเรียกร้องให้ออกใบกำกับภาษีที่มีรายการครบถ้วน ตามมาตรา 86/4
แห่งประมวลรัษฎากร และหากการขายสินค้าหรือบริการรายย่อยดังกล่าว ได้ขายสินค้าหรือบริการ โดย
ไม่เคยมีมูลค่าของฐานภาษีในเดือนใดถึง 100,000 บาท ผู้ประกอบการไม่จำต้องออกใบกำกับภาษี
สำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการที่มีมูลค่าครั้งหนึ่งไม่เกิน 500 บาท เว้นแต่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับ
บริการจะเรียกร้อง โดยให้ผู้ประกอบการจัดทำใบกำกับภาษีรวบรวมการขายสินค้าหรือการให้บริการที่
มูลค่าครั้งหนึ่งไม่เกิน 500 บาท ในหนึ่งวันทำการ เพื่อเป็นเอกสารประกอบการลงรายงานภาษีขาย
ตามมาตรา 87 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามมาตรา 86/8 แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับ
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 7)ฯ ลงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2534
โดยใบกำกับภาษีดังกล่าว สามารถจัดทำเป็นใบกำกับภาษีอย่างย่อ ตามมาตรา 86/6 แห่ง
ประมวลรัษฎากรได้
2. กรณีตาม 2. ใบกำกับภาษีที่มิได้ระบุชื่อผู้ประกอบการนั้น ผู้ประกอบการ ไม่มีสิทธินำ
ใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็นภาษีซื้อเพื่อหักจากภาษีขายในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 แห่ง
ประมวลรัษฎากรเนื่องจากใบกำกับภาษีดังกล่าวถือเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ตามมาตรา 82/5 (1) แห่ง
ประมวลรัษฎากร แต่ผู้ประกอบการมีสิทธินำค่าน้ำ ค่าไฟ ดังกล่าวมาเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี
เงินได้บุคคลธรรมดาได้เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ไม่ต้องห้าม
ตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร แต่สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีดังกล่าวถือเป็น
รายจ่ายต้องห้าม บริษัทฯ ไม่มีสิทธินำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณหากำไรสุทธิได้ ตามมาตรา 65 ตรี
(6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการกำหนด
ค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502
เลขตู้: 62/27581

คลิกลิงก์อ่านทั้งฉบับได้ข้างล่าง

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

กรมสรรพากรได้จัดทำแนวปฎิบัติ“ประเด็นรายจ่ายของกิจการที่จ่ายจริงแต่ ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ”


กรมสรรพากรจึงได้จัดทำ “คู่มือการจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชีที่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีได้” ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างความเข้าใจแก่กิจการใน “ประเด็นรายจ่ายของกิจการที่จ่ายจริงแต่ ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ” ให้สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์

นอกจากนั้นสามารถเอาไว้ใช้อ้างอิง กับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรในกรณีที่ถูกตรวจสอบด้วย ครับ

คลิกดาวน์โหลด ได้ที่  http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/15277290359.pdf

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ภาระภาษีกับการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงที่พักให้กับพนักงาน

สำนักงานบัญชีไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ทั้งสิ้น
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง 
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น

ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์


คุณ Saovakhon Somabot (28 กันยายน 2558 เวลา 17:40 น. จากกรุงเทพมหานคร)
ปุจฉา: เรียน อาจารย์สุเทพที่เคารพ
เรื่อง ภาระภาษีกับการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงที่พักให้กับพนักงาน
บริษัทฯ ได้กำหนดระเบียบการจ่ายค่าเบี้ยงเลี้ยงที่พักให้กับพนักงานที่เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสํานักงานหรือนอกสถานที่เป็นครั้งคราวไว้ดังนี้
การเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงอัตราเหมาจ่าย
ระดับผู้ช่วยผู้จัดการลงมา อัตรา 400 บาท/คน/วัน
ระดับผู้จัดการขึ้นไป อัตรา 500 บาท/คน/วัน
การเบิกที่พักตามจริง
ระดับผู้ช่วยผู้จัดการลงมา อัตรา 1,500 บาท/คน/วัน (มีหลักฐานการจ่ายเงิน)
ระดับผู้จัดการขึ้นไป อัตรา 2,000 บาท/คน/วัน (มีหลักฐานการจ่ายเงิน)
เหมาจ่าย 
ระดับผู้ช่วยผู้จัดการลงมา อัตรา 800 บาท/คน/วัน
ระดับผู้จัดการขึ้นไป อัตรา 1,200 บาท/คน/วัน
กรณีที่ 1. 
บริษัทฯ จ่ายให้พนักงานเป็นค่าเบี้ยเลี้ยง 400 บาท และค่าที่พัก 1,500 บาท (มีใบเสร็จ ค่าที่พักตามที่จ่ายจริง)
กรณีที่ 2.
 บริษัทฯ จ่ายให้พนักงานในอัตราเหมาจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง (รวมค่าที่พัก) 1,700 บาท โดยทำการจ่ายเข้าบัญชีเงินเดือน (ระบบPayroll) รวมกับเงินเดือนทุกสิ้นเดือน (ไม่มีหลักฐานการจ่ายเงิน)
กรณีที่ 3.
บริษัทฯ จ่ายให้พนักงานในอัตราเหมาจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง (รวมค่าที่พัก) 1,700 บาทต่อคนต่อวันโดยเบิกเป็นค่าที่พัก 1,500 บาท (มีหลักฐานการจ่ายเงิน) และเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง 240 บาท
(ค่าเบี้ยเลี้ยงกำหนดให้เบิกได้ไม่เกินอัตราสูงสุดขอทางราชการ)
ขอเรียนสอบถามว่ากรณีที่ 1-3 มีประด็นความผิดและ มีภาระภาษีต่อบริษัทฯ และภาษีเงินได้ของพนักงานอย่างไร ขอคำแนะนำวิธีที่ถูกต้องด้วยค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง

สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วิสัชนา:
ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538 ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2538 ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
“ข้อ 1 ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่ลูกจ้างหรือผู้มีหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงานให้ ได้รับเนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเข้าลักษณะดังนี้
(1) ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น 

(2) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนดจ่ายให้แก่ข้าราชการ ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วย ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น โดยไม่ต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินมาพิสูจน์

(3) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม (2) และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เพียงเฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม (2)
ข้อ 2 การเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตามข้อ 1 ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสำนักงานหรือนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้ โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณีด้วย...”



ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า



กรณีที่ 1 บริษัทฯ จ่ายให้พนักงานเป็นค่าเบี้ยเลี้ยง 400 บาท และค่าที่พัก 1,500 บาท (มีใบเสร็จ ค่าที่พักตามที่จ่ายจริง) เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น ซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

กรณีที่ 2 บริษัทฯ จ่ายให้พนักงานในอัตราเหมาจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง (รวมค่าที่พัก) 1,700 บาท โดยทำการจ่ายเข้าบัญชีเงินเดือน (ระบบ Payroll) รวมกับเงินเดือนทุกสิ้นเดือน (ไม่มีหลักฐานการจ่ายเงิน) ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

กรณีที่ 3 บริษัทฯ จ่ายให้พนักงานในอัตราเหมาจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง (รวมค่าที่พัก) 1,700 บาทต่อคนต่อวัน โดยเบิกเป็นค่าที่พัก 1,500 บาท (มีหลักฐานการจ่ายเงิน) และเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง 240 บาท (ค่าเบี้ยเลี้ยงกำหนดให้เบิกได้ไม่เกินอัตราสูงสุดขอทางราชการ) เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น ซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

  • Saovakhon Somabot ขอสอบถามเพิ่มตามข้อ1การ จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง 400 บาทถือว่า เกินอัตราสูงสุดของทางราชการอ้างอิงข้อ2ของ กฏหมาย ส่วนที่เกินถือเป็นเงินได้พุึงประเมินหรือไม่ค่ะ
    • สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ตามโจทย์แจ้งว่า บริษัทฯ จ่ายให้พนักงานเป็นค่าเบี้ยเลี้ยง 400 บาท และค่าที่พัก 1,500 บาท โดยมีใบเสร็จ ค่าที่พักตามที่จ่ายจริง จึงไม่จำเป็นต้องเปรียบเที่ยบกับค่าเบี้ยเลี้ยงเป็นการเหมาตามเกณฑ์ของทางราชการในคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538 เข้าลักษณะเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น ตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
ที่มา:- http://www.rd.go.th/publish/554.0.html
เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี มีอยู่หลายกรณีที่สำคัญๆ ได้แก่ การยกเว้นตามมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร การยกเว้นตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 การยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับต่างๆ เป็นต้น  เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมีดังนี้

     1. ค่าเบี้ยเลี้ยง หรือ ค่าพาหนะ ซึ่งลูกจ้างหรือผู้รับหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงาน ให้ได้จ่ายไปโดยสุจริต ตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมด ในการนั้น
     2. ค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทางตามอัตราที่รัฐบาลกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยอัตรา ค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทาง
     3. เงินค่าเดินทางซึ่งนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง เฉพาะส่วนที่ลูกจ้างได้จ่ายทั้งหมดโดยจำเป็น เพื่อการเดินทางจากต่างถิ่นในการเข้ารับงานเป็นครั้งแรก หรือในการกลับถิ่นเดิมเมื่อการจ้างสิ้นสุดลงแล้ว แต่ข้อยกเว้นนี้มิให้รวมถึงเงินค่าเดินทางที่ลูกจ้างได้รับในการย้ายกลับถิ่นเดิม และในการเข้ารับงานของนายจ้างเดิมภายใน 365 วัน นับแต่วันที่การจ้างครั้งก่อนได้สิ้นสุดลง

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

การจ่ายค่านายหน้าให้บริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ และบุคคลชาวต่างประเทศที่ไม่ได้อาศัยในประเทศไทย

สำนักงานบัญชีไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ทั้งสิ้น
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง 
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น

ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์

คุณเพ็ญศรี บุญมี “Xiulan Yu” (7 กันยายน 2558 เวลา 2:46 น.)
ปุจฉา: เรียนถาม อาจารย์สุเทพที่เคารพ
ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมเรื่องการวางแผนรายจ่ายต้องห้ามเมื่อ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา ประทับใจมากค่ะที่อาจารย์ให้ความรู้เต็มที่ ตอบทุกคำถามที่ผู้เข้าอบรมเรียนถาม วันนี้ขอเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับการจ่ายค่านายหน้าให้บริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ และบุคคลชาวต่างประเทศที่ไม่ได้อาศัยในประเทศไทย ดังนี้ค่ะ
1) ในการทำสัญญา มีภาระภาษีอะไร ที่บริษัทฯ ต้องหักจากผู้รับเงิน และควรระบุให้ทราบในสัญญา
2) บริษัทฯ ต้องนำส่งภาษีอะไรบ้างให้กรมสรรพากร
ขอรบกวนอาจารย์ด้วยค่ะเนื่องจากบริษัทฯ จำเป็นต้องเพิ่มช่องทางในการหาลูกค้าต่างประเทศให้มาใช้บริการและอยากทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ด้วยความเคารพอย่างสูง

สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วิสัชนา:
โดยทั่วไป ค่านายหน้า ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร
1. กรณีจ่ายค่านายหน้าให้บุคคลชาวต่างประเทศที่ไม่ได้อาศัยในประเทศไทย
ไม่ว่านายหน้าตัวแทนผู้มีเงินได้ค่านายหน้านั้น จะมีภูมิลำเนาตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) วรรคท้าย แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยบละ 15.0 ของเงินได้ พร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้
2. กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการจ่ายค่านายหน้าให้แก่บริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ
(1) กรณีบริษัทนายหน้าตัวแทนที่เป็นผู้รับเงินได้ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย ให้บริษัทฯ คำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ที่จ่าย พร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้
(2) กรณีบริษัทนายหน้าตัวแทนที่เป็นผู้รับเงินได้ตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย บริษัทฯ ไม่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากเงินได้ที่จ่ายเข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่เป็น “กำไรจากธุรกิจ” (Business Profit) ซึ่งจะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร เฉพาะกรณีที่บริษัทต่างประเทศนั้น มีสถานประกอบการถาวรตั้งอยู่ในประเทศไทย
3. กรณีภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจ่ายค่าหน้าหน้าให้แก่ผู้รับทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น
(1) กรณีนายหน้าตัวแทนนั้นหาลูกค้าในประเทศไทยให้แก่บริษัทฯ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร (Out - In) เข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Scope) บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร พร้อมทั้งยื่น แบบ ภ.พ.36 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้ 

(2) กรณีนายหน้าตัวแทนหาลูกค้าในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้ใช้บริการนั้นในต่างประเทศ (Out - Out) ไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope) บริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

กู้เงินมาซื้อที่ดินเปล่าและที่ดินพร้อมอาคารแล้วให้เช่าทันที ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีหรือถือเป็นต้นทุนที่ดิน

สำนักงานบัญชีไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ทั้งสิ้น
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง 
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น

ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์


คุณ Sai Nami (18 กันยายน 2558 เวลา 19:11 น. จากเทศบาลนครภูเก็ต)
ปุจฉา: 
กู้เงินมาซื้อที่ดินเปล่าและที่ดินพร้อมอาคารแล้วให้เช่าทันที ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นบันทึกเป็นค่าดอกเบี้ยจ่าย เวลายื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ได้กรอกเป็นรายจ่ายดอกเบี้ย บวกกลับเป็นรายจ่ายต้องห้าม แล้วกรอกช่องรายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกินรายได้ของบริษัท ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า เพื่อความชัดเจนในเรื่องนี้และเป็นบรรทัดฐานในการทำงานให้ถูกต้องต่อไป และถ้าบางปีที่ดินเปล่าไม่มีคนเช่า ก็ยังปฏิบัติเหมือนข้างบนหรือเปล่า
ขอความกรุณาจากอาจารย์ช่วยอธิบายให้หนุเข้าใจแจ่มแจ้งหน่อยค่ะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วิสัชนา:
เกี่ยวกับกรณีกิจการกู้เงินมาซื้อที่ดินเปล่าและที่ดินพร้อมอาคารแล้วให้เช่าทันที นั้น อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 375) พ.ศ. 2543 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 92) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ย เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2544 ดังนี้

“ข้อ 1 ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินต้องเป็นดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นโดยตรงเนื่องจากการดำเนินธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ หรือเกี่ยวเนื่องโดยตรงต่อทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้
ข้อ 2 ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้ปฏิบัติดังนี้
(1) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ให้ถือเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน
(2) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี
กรณีที่เงินกู้มานั้นได้นำไปใช้เพื่อซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือใช้ใน กิจการอื่น ๆ รวมกัน ในการคำนวณตาม (1) และหรือ (2) ให้นำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเฉพาะในส่วนที่ เกี่ยวกับการซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินมาคำนวณเท่านั้น
ข้อ 3 เมื่อได้ปฏิบัติตามข้อ 2 (2) แล้ว บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะต้องไม่นำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมดังกล่าวไปรวมคำนวณเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน หรือไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอีก”

ดังนั้น ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นกิจการบันทึกเป็นค่าดอกเบี้ยจ่ายในการดำเนินงานได้ทั้งจำนวน เพราะทั้งที่ดินเปล่า และหรือที่ดินพร้อมอาคารเป็นทรัพย์สินที่พร้อมใช้งานแล้ว เมี่อกิจการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 กรมสรรพากรได้มีข้อชี้แจงการปฏิบัติตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 375) พ.ศ. 2543 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 92) ว่า กิจการไม่ต้องปรับปรุงรายการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะข้อกำหนดดังกล่าวไม่มีผลทำให้กำไรสุทธิทางบัญชีกับกำไรสุทธิทางภาษี (Bottom Line) แตกต่างกัน และได้กำชับให้เจ้าพนักงานสรรพากรอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยว แนะนำให้กิจการทำการปรับปรุงรายการดังกล่าว เนื่องจาก

1. ในทางภาษีอากรอากรไม่มีข้อกำหนดให้นำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ ไปถือเป็น “รายจ่าย”

2. หากแต่ตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในมาตรา 3 แห่งประมวลรัษฎากร นั้น มีข้อกำหนดให้ยกเว้นหรือลดอัตราภาษีเท่านั้น จึงต้องเลี่ยงใช้คำว่า “ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี”

3. การย้ำในข้อ 3 ของประกาศฯ (ฉบับที่ 92) เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนทางภาษีอากรเท่านั้น ไม่มีนัยใดๆ แฝงไว้แต่อย่างใด



พระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 375)
พ.ศ. 2543
--------------------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
เป็นปีที่ 55 ในรัชกาลปัจจุบัน

                      พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า

                      โดยที่เป็นการสมควรยกเว้นภาษี เงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล บางกรณี

                      อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล-รัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ดังต่อไปนี้

                      มาตรา 1  พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 375) พ.ศ. 2543"

                      มาตรา 2  พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับสำหรับรอบ ระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2543 เป็นต้นไป

                      มาตรา 3  ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้น ส่วนนิติบุคคลเป็นจำนวนเท่ากับดอกเบี้ยเงิน กู้ยืมเพื่อซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ทั้งนี้ เฉพาะดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัน ที่ทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์

                      ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตามวรรคหนึ่งให้เป็น ไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

                      มาตรา 4  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระ ราชกฤษฎีกานี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีจ่ายเงินค่าโทรศัพท์และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ให้พนักงาน

ที่มา:-จดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพากร

สรุปจากหนังสือตอบข้อหารือกรมสรรพากรข้างล่าง ครับ

1.ค่าโทรศัพท์มือถือเหมาจ่ายขั้นต่ำได้ ต้องกำหนดเป็นระเบียบบริษัทและเป็นการใช้จ่ายเพิ่อกิจการ นำใบเสร็จจริงของพนักงานมาเบิกได้ ไม่ถือเป็นเงินได้พนักงาน ทำให้ไม่ถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ครับ

2.ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ น้ำมันรถยนต์ และค่าเช่ายานพาหนะ ของพนักงาน กรมสรรพากรไม่ยอมรับถือเป็นเงินได้ของพนักงาน ครับ แต่ให้แนวปฎิบัติดังนี้ ครับ

เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินค่าน้ำมันรถยนต์ให้กับพนักงานพนักงานจะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำค่าน้ำมันรถยนต์ดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๒(๑) แห่งประมวลรัษฎากร

1.พนักงานต้องมีหลักฐานการใช้รถยนต์และพิสูจน์จนเป็นที่เชื่อถือแก่การตรวจสอบไต่สวนของเจ้าพนักงานประเมินว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน

2.ได้จ่ายไปทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติงานตามหน้าที่นั้นด้วยประกอบกับบริษัทฯ ต้องมีระเบียบอนุญาตให้มีการเบิกจ่ายค่าน้ำมันรถยนต์โดยมีหนังสืออนุญาต พร้อมทั้งการบันทึกอนุญาตให้เดินทางไปติดต่องานจากที่ไหนถึงไหน ระยะทางเท่าใด ชื่อเจ้าของรถยนต์ หมายเลขทะเบียนรถยนต์ใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันรถยนต์ที่มีการระบุชื่อเจ้าของรถยนต์

โดยสรุปแล้ว เบิกได้แต่ค่าน้ำมันไม่ให้ค่าสึกหรอครับ ทำรายงานละเอียดหยิบ อย่างนี้ทำเบิกค่าแท็กซี่โดยระบุรายละเอียดจากไหนไปไหน เพื่ออะไรจ่ายให้พนักงาน จะง่ายกว่าไหม ครับ

เลขที่หนังสือ : 0702/1121 วันที่ : 6 มีนาคม 2557

เรื่อง : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีจ่ายเงินค่าโทรศัพท์และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ให้พนักงาน

ข้อกฎหมาย : มาตรา 42(1) มาตรา 40 มาตรา 50 และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

          บริษัทฯ มีระเบียบการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าโทรศัพท์ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ให้กับพนักงานบางหน่วยงานของบริษัทฯ ที่มีความจำเป็นต้องออกไปปฏิบัติงานตามหน้าที่และได้นำโทรศัพท์และรถยนต์ส่วนตัวมาใช้ในการทำงาน โดยบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

           ๑.ค่าโทรศัพท์ให้เบิกได้ตามจริงแต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท ให้พนักงานนำใบเสร็จรับเงินค่าโทรศัพท์ฉบับจริงมาแสดงทุกครั้งที่ทำการขอเบิกจ่ายเงิน

           ๒.ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ และค่าพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. ๒๕๓๕ (พ.ร.บ.) ให้พนักงานเบิกได้ตามจริง โดยนำใบเสร็จรับเงินฉบับจริงมาแสดงทุกครั้งที่ทำการขอเบิกจ่ายเงิน

           ๓.ค่าน้ำมันรถยนต์มีรายงานการเดินทางและใบเสร็จรับเงินฉบับจริงมาแสดง

           ๔.ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคารถยนต์เหมาจ่ายเป็นรายเดือน

           บริษัทฯ ขอทราบว่า เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าว ให้กับพนักงาน บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย หรือไม่ อย่างไร

แนววินิจฉัย

          ๑.กรณีตาม ๑. เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าโทรศัพท์ให้แก่พนักงาน เนื่องจากพนักงานได้นำโทรศัพท์ส่วนตัวมาใช้ในกิจการของบริษัทฯ ตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินของบริษัทฯ นั้นหากบริษัทฯ มีหลักฐานพิสูจน์ได้โดยชัดแจ้งว่า ค่าโทรศัพท์นั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการแล้วกรณีดังกล่าว ไม่ถือเป็นประโยชน์เพิ่มของพนักงาน ฉะนั้น เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าโทรศัพท์คืนให้พนักงานบริษัทฯ ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่อย่างใด

           ๒.กรณีตาม ๒. และ ๓. เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินค่าน้ำมันรถยนต์ให้กับพนักงานพนักงานจะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำค่าน้ำมันรถยนต์ดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๒(๑) แห่งประมวลรัษฎากร พนักงานต้องมีหลักฐานการใช้รถยนต์และพิสูจน์จนเป็นที่เชื่อถือแก่การตรวจสอบไต่สวนของเจ้าพนักงานประเมินว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติงานตามหน้าที่นั้นด้วยประกอบกับบริษัทฯ ต้องมีระเบียบอนุญาตให้มีการเบิกจ่ายค่าน้ำมันรถยนต์โดยมีหนังสืออนุญาต พร้อมทั้งการบันทึกอนุญาตให้เดินทางไปติดต่องานจากที่ไหนถึงไหน ระยะทางเท่าใด ชื่อเจ้าของรถยนต์ หมายเลขทะเบียนรถยนต์ใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันรถยนต์ที่มีการระบุชื่อเจ้าของรถยนต์ หมายเลขทะเบียนรถยนต์ให้ชัดเจน ส่วนกรณีเงินค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ค่า พ.ร.บ. และค่าน้ำมันรถยนต์ที่บริษัทฯ ได้จ่ายให้พนักงานส่วนที่นอกเหนือจากกรณีดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามมาตรา ๔๐(๑) แห่งประมวลรัษฎากร พนักงานต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย และบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องนำไปรวมคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย และนำส่งตามมาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ แห่งประมวลรัษฎากร

           ๓.กรณีตาม ๔. ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคารถยนต์เหมาจ่ายเป็นรายเดือนเข้าลักษณะเป็นค่าพาหนะที่บริษัทฯ จ่ายให้แก่พนักงานโดยคิดคำนวณมาจากค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน และค่าใช้จ่ายที่กำหนดแน่นอน เป็นค่าพาหนะที่นายจ้างเหมาจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ย่อมไม่อยู่ในความหมายของมาตรา ๔๒(๑) แห่งประมวลรัษฎากร และเป็นเงินได้ที่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของพนักงาน บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายไว้และนำส่งตามมาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้ : 77/38891


ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจ่ายเงินทำบุญตามประเพณี

ที่มา:-จดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพากร

เลขที่หนังสือ : 0702/1131 วันที่ : 6 มีนาคม 2557

เรื่อง : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจ่ายเงินทำบุญตามประเพณี

ข้อกฎหมาย : มาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

          บริษัทฯ มีประเพณีประจำปี จัดทำบุญเลี้ยงพระในวันสงกรานต์ วันปีใหม่ และทำบุญเปิดกิจการใหม่ โดยงานบุญดังกล่าวได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสร้างความสามัคคีกลมเกลียวให้กับพนักงานของบริษัทฯ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตั้งแต่ ปี 2555 ถึงปีปัจจุบัน บริษัทฯ จึงขอทราบว่า บริษัทฯ จะนำรายจ่ายดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ได้หรือไม่ อย่างไร

แนววินิจฉัย

          1. กรณีการทำบุญประจำปีตามประเพณี หากบริษัทฯ มีระเบียบเกี่ยวกับการจัดงานทำบุญประจำปีตามประเพณีดังกล่าว ที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไปในบริษัทฯ โดยจัดทำขึ้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสร้างความสามัคคีกลมเกลียวให้กับพนักงานบริษัทฯ รายจ่ายดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการโดยตรง บริษัทฯ สามารถนำไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฎากร

           2. กรณีบริษัทฯ ทำบุญเปิดกิจการใหม่ เนื่องจากรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ บริษัทฯ สามารถนำไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้ :77/38895

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กิจการทำสัญญาเช่าซื้อแลัวได้รับส่วนลดเงินดาวน์รถ 50,000 บาททำอย่างไร ครับทั้งในแง่ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล

ที่มา Fanpage :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์

ปล. กระผมขอขอบคุณอาจารย์ในการนำสอนต่อสาธารณะชนเท่านั้น อาจารย์ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับกิจการ ทางสำนักงานบัญชีเห็นว่ามีประโยชน์จึงนำเผยแพร่เท่านั้น นะครับ

คุณ Tukta S'Tippaporn ได้โพสต์ไปในกล่องข้อความ “สุเทพ พงษ์พิทักษ์” เมื่อ 23 มกราคม 2558 เวลา 19:15 น. ว่า
“เรียน อาจารย์สุเทพ
หนูขอสอบถามปัญหาดังนี้ค่ะ
บริษัท S ซื้อรถกระบะ ด้วยวิธีการผ่อนชำระกับบริษัทลิสซิ่ง
มีเงื่อนไขในการซื้อขายดังนี้ ราคาขายรถ 700,000.- บาท 
เงินดาวน์ 90,000 บาท ทั้งนี้ บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์
ได้ให้ส่วนลดเงินดาวน์ จำนวน 50,000 บาท โดยบริษัท S เลือกที่จะนำส่วนลด จำนวน 50,000.- บาท ไปลดเงินดาวน์ ซึ่งเท่ากับว่าบริษัท S จ่ายเงินดาวน์ เพียง 40,000.- บาท (ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการออกรถจะไม่ขอกล่าวถึงเนื่องจากไม่ติดใจสงสัยค่ะ) เอกสารที่บริษัท S ได้รับมี 3 ฉบับ ดังนี้
1. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี จาก บริษัทลิสซิ่ง “เงินดาวน์ 84,112.15 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 5,887.85 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 90,000 บาท”
2. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี จากบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ดังนี้ “รายได้ค่าบริการอื่นๆ 3,271.03 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 228.97 บาท รวมเป็นทั้งสิ้น 3,500.-บาท”
3. หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย จากบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ “ค่าส่งเสริมการขาย 50,000.- บาท ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1,500.- บาท”
จากประเด็นข้างต้น ขอเรียนถาม
a) ข้อเท็จจริงบริษัท S ได้จ่ายเงินดาวน์ไปเพียง 40,000.- บาท แต่ได้รับใบกำกับภาษีซื้อมาเต็มจำนวนก่อนหักส่วนลด มีวิธีการบันทึกบัญชีอย่างไร
b) และบริษัท S สามารถนำใบกำกับภาษีซื้อ ตามข้อ 1 และ 2 มาใช้ได้ทั้ง 2 ฉบับ รวมเป็นจำนวน 6,116.82 บาท ใช่หรือไม่
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ได้โพสต์ตอบเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 22:55 น. ว่า
a) ส่วนลดเงินดาวน์ ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของราคารถยนต์ และยันทึกเป็นรายได้อ่ืน
b) บริษัท S สามารถนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวมาถือเป็นเครดิตหักภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละเดือนภาษี

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

ฎีกาภาษี รายจ่ายในการผลิตโทรทัศน์ถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน(Capital Expenditure)หรือไม่

 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5451/2549
  บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) โจทก์
  กรมสรรพากร กับพวก จำเลย

ข้อเท็จจริง

เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2539 และรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2544 ได้มีหนังสือแจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2539 พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมเป็น เงิน 135,072,436 บาท กับมีหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนสุทธิรอบระยะเวลา บัญชีปี 2540 จากที่โจทก์แสดงผลขาดทุนสุทธิ ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ไว้จำนวน 142,422,941.95 บาท เป็นกำไรสุทธิจำนวน 6,769,182.89 บาท

โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัย ให้ลดภาษีตามการประเมินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2539 คงเหลือเรียกเก็บภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 35,711,419.93 บาท กับวินิจฉัยให้ปรับปรุงผลขาดทุนสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2540 ของโจทก์เป็นขาดทุนสุทธิ 77,478,273.69 บาทโดยให้เหตุผลว่ารายจ่ายที่ใช้ผลิตรายการโทรทัศน์ของโจทก์เป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน ถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร จึงปรับปรุงค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาให้
โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงยื่นฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยต่อศาลภาษีอากรกลาง ขอให้เพิกถอนการประเมินและการแจ้งการเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนสุทธิของเจ้าพนักงานประเมินกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินและการแจ้งการเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนสุทธิ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

คำวินิจฉัยศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่เพียงประเด็นเดียวว่า ค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์ของโจทก์ เช่น รายการบ้าน เลขที่ 5 รายการเกมโชว์ และรายการวาไรตี้ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2539 จำนวน 255,947,850.67 บาท และสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 จำนวน 302,588,706.02 บาท เป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (5) หรือไม่

ที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า เทปรายการโทรทัศน์ที่โจทก์ผลิต เช่น รายการบ้านเลขที่ 5 รายการวาไรตี้ และรายการเกมโชว์ เมื่อโจทก์ นำออกอากาศไปแล้วเทปรายการดังกล่าวยัง เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์มีสิทธินำไปหาประโยชน์ก่อให้เกิดรายได้อีก ถือได้ว่าค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์ดังกล่าวเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (5) นั้น เห็นว่า นายโฆษิต สุวินิจจิต กรรมการของโจทก์เบิกความว่า แม้เทปรายการโทรทัศน์ดังกล่าวเมื่อได้ออกอากาศไปแล้วยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ก็ตาม แต่โจทก์ไม่เคยนำมาออกอากาศซ้ำอีก เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากทางสถานีโทรทัศน์ที่โจทก์เช่าเวลาออกอากาศไว้ และไม่เคยนำเทปรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศไปแล้วไปขายต่อให้ผู้ใด โจทก์จะเก็บม้วนเทปรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศไปแล้วไว้ไม่เกิน 6 เดือน เพื่อเป็นหลักฐานในการเก็บค่าโฆษณาจากลูกค้า หลังจากนั้นจะนำไปอัดรายการอื่นๆ ซ้ำลงไป รายการเดิมจึงหมดไป ค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์แต่ละรายการทั้งหมดจึงเป็นค่าใช้จ่ายในกิจการเพื่อหากำไรในรอบระยะเวลาบัญชีเดียว ไม่เป็นค่าใช้จ่ายอันมีผลก่อให้เกิดรายได้เป็นการถาวรต่อธุรกิจในรอบระยะเวลาบัญชีในปีต่อไป จึงมิใช่รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน

ส่วนจำเลยมีนายกรวีร์ อินทวงศ์ เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ส่วนตรวจสอบภาษีอากร 2 ศูนย์บริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ เบิกความว่า พยานไม่ได้ตรวจสอบรายการโทรทัศน์ที่โจทก์นำออกอากาศแล้วว่าได้นำไปออกอากาศซ้ำหรือไม่ แต่ได้ตรวจสอบว่าเทปรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศแล้วโจทก์ได้นำไปขายหรือไม่ ผลการตรวจสอบไม่พบว่าโจทก์ได้ขายเทปดังกล่าวไป ส่วนที่โจทก์อ้างว่าได้นำเทปรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศแล้วไปอัดซ้ำนั้น จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ไม่ได้ตรวจสอบ คำเบิกความของนายกรวีร์ดังกล่าวจึงไม่ยืนยันว่าเทปรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศไปแล้วโจทก์ยังคงเก็บไว้ใช้ประโยชน์เป็นทุนรอนของโจทก์ต่อไปได้อีก

นอกจากนี้ยังปรากฏจากบันทึกรายงานของเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 คือ นายช. นันท์ เพ็ชญไพศิษฐ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารภาษี ธุรกิจขนาดใหญ่ ได้สรุปความเห็นเรื่องนี้ไว้ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 336 ถึง 338 กับนางทัศนีย์ เหลืองเรืองรอง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 8 ว. ทำความเห็นไว้ตามเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 197 ถึง 218 สรุปความทำนองเดียวกันว่า รายการโทรทัศน์ เช่น รายการบ้านเลขที่ 5 รายการวาไรตี้ รายการทอล์คโชว์ บางรายการเป็นรายการออกอากาศสด บางรายการบันทึกเทปไว้แล้วจึงนำไปออกอากาศ ค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการดังกล่าวเป็นรายจ่ายเพื่อการออกอากาศเพียงครั้งเดียว เทปบันทึกรายการโทรทัศน์มิได้เก็บเอาไว้ทำประโยชน์ต่อไป เนื่อง จากขายไม่ได้และนำไปออกอากาศซ้ำอีกไม่ได้ และรายได้ก็รับจากสปอนเซอร์เพียงครั้งแรกที่ออกอากาศเท่านั้น ค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์จึงไม่ใช่รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน บันทึกของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ทั้งสองคนดังกล่าวจึงสนับสนุนให้เห็นได้ว่า เทปรายการโทรทัศน์ที่โจทก์ผลิตเองและออกอากาศไปแล้วนั้น โจทก์ไม่ได้เก็บรักษาไว้เพื่อประโยชน์ในการหารายได้อันจะถือเป็นทรัพย์สินที่ก่อมูลค่าแก่กิจการอีกต่อไป ค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์แต่ละครั้งจึงมิใช่รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (5) ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ข้อคิดเห็น

  เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2735/2532 (บริษัท สหมงคลฟิล์ม จำกัด โจทก์ กรมสรรพากร กับพวก จำเลย) วินิจฉัยว่า

"โจทก์เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ ซื้อภาพยนตร์ จาก ต่างประเทศ และเป็นผู้จัดพิมพ์ฟิล์มภาพยนตร์ ดังกล่าวขึ้นมาใหม่เป็นหลายชุด ภาพยนตร์หรือฟิล์มภาพยนตร์ดังกล่าวย่อมเป็นทรัพย์สินของโจทก์ หาใช่เป็นสินค้าที่มีลักษณะเป็นการขายภาพแต่อย่างใดไม่ ดังนั้นรายจ่ายของโจทก์ในการสร้างภาพยนตร์ ซื้อภาพยนตร์มาจากต่างประเทศและพิมพ์ฟิล์มภาพยนตร์จึงเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนหรือเป็นรายจ่ายในการขยายออกซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ ต้องห้าม มิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (5)                  
  นอกจากนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2534 ประชุมใหญ่ (บริษัท โคลีเซี่ยมโปรดักชั่น จำกัด โจทก์ กรมสรรพากร จำเลย) วินิจฉัยว่า "เมื่อบริษัทโจทก์สร้างภาพยนตร์เสร็จแล้ว โจทก์ก็สามารถนำภาพยนตร์ดังกล่าวไปฉายหาผลประโยชน์ได้ทั่วประเทศ แม้ฟิล์มภาพยนตร์ที่โจทก์ฉายหารายได้แล้วครั้งแรกหรือที่เรียกว่ากากหนัง จะมีค่าหรือราคาลดน้อยลงไป แต่ภาพยนตร์หรือฟิล์มภาพยนตร์นั้นยังคงเป็น ทรัพย์สินและเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ เพราะโจทก์ยังสามารถนำออกฉายหาผลประโยชน์ให้โจทก์หรือขายขาดให้บุคคลอื่นต่อไปได้อีกหาได้เสื่อมค่าหมดไปดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ โจทก์จะนำภาพยนตร์หรือฟิล์มภาพยนตร์ของโจทก์ไปเปรียบเทียบกับการผลิตสินค้าทั่วไปและถือว่าภาพยนตร์หรือฟิล์มภาพยนตร์ของโจทก์เป็นสินค้าของโจทก์ด้วยไม่ได้

เพราะวัตถุประสงค์ที่โจทก์สร้างภาพยนตร์ขึ้นมาก็เพื่อนำออกฉายหารายได้จากผู้เข้าชมซึ่งมาหาความบันเทิง ผู้ชมภาพยนตร์เพียงแต่ได้ชมภาพและฟังเสียงของภาพยนตร์ชั่วระยะเวลาอันสั้น โดยเสียเงินค่าตอบแทน หาได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในภาพยนตร์ นั้นแต่ประการใด โจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในภาพยนตร์หรือฟิล์มภาพยนตร์นั้นอยู่เช่นเดิมกิจการของโจทก์จึงไม่เข้าลักษณะซื้อขายสินค้า ฉะนั้น รายจ่ายต่างๆ ที่โจทก์เสียไปเนื่องจากการสร้างภาพยนตร์ จึงเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี (5)"
คำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับวินิจฉัยเหมือนกันว่ารายจ่ายในการสร้างภาพยนตร์เป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (5) แต่คดีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ารายจ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์ มิใช่รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน ไม่ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (5) เหตุที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเช่นนี้เนื่องจากคดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเทปรายการโทรทัศน์ที่โจทก์ผลิตขึ้นเองนั้นเมื่อออกอากาศไปแล้ว โจทก์ไม่ได้เก็บรักษาไว้เพื่อที่จะนำออกฉายหารายได้อีก เพราะขายไม่ได้และนำไปออกอากาศซ้ำอีกไม่ได้ และรายได้ก็ได้รับจากสปอนเซอร์เพียงครั้งเดียว ต่างกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าวที่ฟิล์มภาพยนตร์ที่เกิดจากการสร้างภาพยนตร์ของโจทก์ โจทก์จะนำออกจ่ายหารายได้หรือให้เช่ากี่ครั้งกี่รอบระยะเวลาบัญชีก็ได้ และจะขายให้ผู้อื่นก็ได้ รายจ่ายในการสร้างภาพยนตร์จึงเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน ฉะนั้น คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีนี้จึงมิได้เป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยกลับคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับแต่อย่างใด

หลักในการพิจารณาว่ารายจ่ายใดเป็น รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน (Capital Expenditure) มี 3 หลักคือ หลักกรรมสิทธิ์ (Ownership Principle) หลักประโยชน์ (Benefit Principle) และหลักสาระสำคัญหรือหลักความมีนัยสำคัญ (Materiality Principle)
หลักกรรมสิทธิ์ คือ หลักที่ว่ารายจ่ายใดทำให้กิจการได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน รายจ่ายนั้นถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2509, 168/2521, 3381/2524, 760/2534) ไม่ว่าอายุการใช้งานนั้นจะเกิน 1 ปีหรือไม่ก็ตาม (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2537)

ส่วนหลักประโยชน์ คือ หลักที่ว่ารายจ่ายใดทำให้กิจการได้รับประโยชน์เกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี รายจ่ายนั้นถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2537, 4498/2543)
สำหรับหลักสาระสำคัญหรือหลักความมีนัยสำคัญ คือ หลักที่มาจากข้อสมมุติฐานขั้นพื้นฐานทางบัญชี (Basic Accounting Concept) ที่ว่า ในการพิจารณาว่าควรจะเปิดเผยข้อมูลอะไรบ้างนั้น ควรที่จะพิจารณาเปิดเผยเฉพาะ ข้อมูลสำคัญๆ ที่จะมีผลกระทบจากการตัดสินใจเท่านั้น ข้อมูลที่ไม่มีความสำคัญไม่ควรจะเปิดเผย เพราะจะทำให้สาระสำคัญมีความชัดเจนน้อยลง เช่น กิจการซื้อไม้แขวนเสื้อ 100 บาท จะไม่ถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน แม้จ่ายเงินไปแล้วจะทำให้กิจการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ใน ไม้แขวนเสื้อหรือไม้แขวนเสื้อนั้นก่อให้เกิดประโยชน์แก่กิจการเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีก็ตาม แต่ถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไร (Revenue Expenditure) เพราะเงินที่จ่ายไปนั้นมีจำนวนเล็กน้อย ซึ่งบางกิจการหากต่ำกว่า 500 บาท ไม่ถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน แต่ถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไร
คดีนี้ไม่อาจนำหลักสาระสำคัญหรือหลักความมีนัยสำคัญมาพิจารณา เพราะรายจ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์มิใช่เงินจำนวนเล็กน้อย คงเหลือแต่หลักกรรมสิทธิ์และหลักประโยชน์ที่จะนำมาพิจารณา

หากนำหลักกรรมสิทธิ์มาพิจารณา รายจ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์ย่อมถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน เพราะทำให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในเทปรายการโทรทัศน์เหมือนกับฟิล์มภาพยนตร์ตามคำพิพากษาทั้งสองฉบับดังกล่าว
แต่ถ้านำหลักประโยชน์มาพิจารณา รายจ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์จะไม่ถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน แต่จะถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไร เพราะเทปรายการโทรทัศน์ที่เกิดจากการผลิตรายการนั้นใช้ประโยชน์ได้เพียงครั้งเดียว มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์เกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี

เมื่อนำหลักกรรมสิทธิ์และหลักประโยชน์มาพิจารณา ผลลัพธ์แตกต่างกัน กรณีนี้ก็ควรจะใช้หลักประโยชน์มากกว่า เพราะหากนำหลักกรรมสิทธิ์มาใช้จะเป็นผลร้ายแก่โจทก์ซึ่งเป็น ผู้เสียภาษี เนื่องจากโจทก์จะนำรายจ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์มาหักเป็นรายจ่ายทั้งหมดในรอบระยะเวลาบัญชีที่เกิดรายจ่ายไม่ได้ จะต้องทยอยหักในรูปของค่าเสื่อมราคาของเทปรายการโทรทัศน์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (2) ประกอบพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2537 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว

แต่ถ้า นำหลักประโยชน์มาใช้จะเป็นผลดีแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียภาษี เนื่องจากโจทก์มีสิทธินำรายจ่ายในการผลิตรายการโทรทัศน์ทั้งหมดมาหักเป็น รายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่เกิดรายจ่ายได้ เมื่อปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากรซึ่งมีหลักอยู่ว่าหากมีข้อสงสัยในการตีความหรือใช้บังคับก็ต้องตีความหรือใช้บังคับ ไปในทางที่เป็นผลดีแก่ผู้เสียภาษียิ่งกว่าเป็น ผลร้าย ฉะนั้น ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับคำพิพากษา

โดย : ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม และ ดุลยลักษณ์ ตราชูธรรม
ที่มา : สรรพากรสาส์น ฉบับเดือนกันยายน 2551

จดทะเบียนบริษัท สำนักงานรับทำบัญชี แจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด นนทบุรี สามโคก ปทุมธานี
บริษัท เอส.เค.แอคเคาน์ติ้งอินฟอร์เมชั่น จำกัด โทร 02-575-3007-8
รับจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วน บริษัท บุุคคลธรรมดา
รับวางระบบบัญชีด้วยโปรแกรมบัญชี Express
รับวางแผนภาษี และเคลียภาษีสรรพากร
ตรวจสอบ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI-Business)
รับแก้ไขปัญหาคดีรับหมายเรียกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฐานความผิดไม่ยื่นงบการเงิน
หรือส่งงบการเงินล่าช้า เกินกำหนดดังกล่าว โดยประหยัดและถูกต้อง
  
85/151 ถนนแจ้งวัฒนะ 27  ตำบลคลองเกลือ
อำเภอปากเกร็ด นนทบุรี 11120
โทรศัพท์ 02-575-3007 โทรสาร 02-575-3008
ดำเนินการโดย
นักบัญชีรับอนุญาต จากกระทรวงพาณิชย์และสภาวิชาชีพบัญชี