ตั้งแต่ 1 มกราคม 2560 กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะให้แบบฟอร์มรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท หรือ บอจ 5 จะต้องใส่เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักแล้ว ทำให้หน่วยราชการมีฐานข้อมูลในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งคือหุ้น ครับ จะมีผลในตรวจสอบการเสียภาษีของหุ้นคือ แค่ป้อนข้อมูลเลขประจำตัวบัตรประชาชนหรือเลขประจำตัวนิติบุคคล 13 หลักก็จะเห็นประวัติการเป็นผู้ถือหุ้น ดังนี้ คือ
1.นิติบุคคลตาม บอจ 5 คือ บริษัท จำกัด
ถ้าบริษัทจำกัดที่มีกำไรสะสม ไม่ว่าจะเป็นสำรองตามกฎหมาย หรือ กำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร เมื่อจะจ่ายเงินปันผล หรือเมื่อจะเลิกกิจการ ถ้ายังมีกำไรสะสมอยู่ เท่ากับบริษัทมีภาระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของการจำหน่ายกำไรเท่ากับร้อยละ 10 เช่น ถ้าบริษัทมีกำไรสะสม 1,000,000 บาทก็จะมีภาระภาษีการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 10 หรือ เท่ากับ 100,000 บาท
สรุป ผู้บริหารบริษัทพึงระลึกเสมอว่า กำไรสะสมที่คงเหลือในบัญชีบริษัทมีภาระหนี้สินที่จะต้องชำระภาษีให้กรมสรรพากรร้อยละ 10 นะครับ
2.ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด แบ่งเป็น 2 กลุ่ม หลักคือ
2.1 บุคคลธรรมดา แบ่งตามเงินได้เป็น
2.1.1 เงินปันผลเมื่อได้รับจะต้องถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 แต่ให้สิทธิ์เลือกได้ระหว่างเลือกเสียภาษีร้อยละ 10 หรือนำมารวมคำนวณเป็นเงินได้บวกเครดิตภาษีเงินปันผล แต่ต้องนำมารวมคำนวณเงินปันผลทุกนิติบุคคล หรือไม่เลือกเลย
การเครดิตภาษีเงินได้จากเงินปันผลบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วน
http://tax.bugnoms.com/dividend-from-investment-should-pay-tax/
2.1.2 กำไรจากการขายหุ้น ถ้าเป็นผู้ขายแล้วผู้ซื้อไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลสามารถหักภาษี ณ ที่จ่ายในส่วนของผลกำไรจากการขายหุ้น โดยหักภาษีตามตารางภาษีบุคคลธรรมดาอัตราก้าวหน้า
อ้างอิงหนังสือตอบข้อหารือกรมสรรพากร ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
http://www.rd.go.th/publish/25417.0.html
ดูสรุปตารางการหัก ภาษี ณ ที่จ่ายข้างล่าง (ช) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนการเป็นหุ้นส่วนหรือ โอนหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
http://taxclinic.mof.go.th/pdf/128E587B_B65D_89A7_F9B2_425C2D4F8325.pdf
2.1.3 ภาษีการให้และการรับ การให้สังหาริมทรัพย์ก่อนตาย
กรณีสังหาริมทรัพย์
– เงินได้ที่ได้รับจาก บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่ สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น
– เงินได้ที่ได้รับจาก การอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา จากบุคคลซึ่ง มิใช่ตามข้อ 1 เฉพาะเงิน ได้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น
– เงินได้ที่ได้รับซึ่งผู้ให้แสดงเจตนาหรือเห็นได้ว่ามีความประสงค์ให้ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
อ้างอิง http://www.realist.co.th/blog/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%81-2/
2.1.4 ภาษีมรดก คือสินทรัพย์ที่ให้หลังจากเสียชีวิตแล้ว คือมรดกที่ผู้รับมรดกได้รับจากเจ้ามรดกแต่ละราย ไม่ว่าจะได้รับมาในคราวเดียวหรือหลายคราว ถ้ามรดกที่ได้รับจากเจ้ามรดกแต่ละรายรวมกันมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ต้องเสียภาษีการรับมรดก
อ้างอิง กรมสรรพากร http://www.rd.go.th/publish/27614.0.html
2.2 นิติบุคคล แบ่งตามเงินได้เป็น
2.2.1 เงินปันผล สรุปได้ดังนี้
ก. 10% ภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีที่ได้รับยกเว้น
ที่มาจากเอกสารประกอบการสัมมนา ยื่นแบบ ภงด 50 ง่ายกว่าที่คิด
จัดทำโดย นส.พรศิริ เหล่าพัชรกุล และ นส.กัลยาณี ยิ้มย่อง
2.2.2 กำไรจากการขายหุ้น ไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย แต่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
อ้างอิง ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
http://www.set.or.th/th/regulations/tax/tax_p1.html
บริษัท เอส.เค.แอคเคาน์ติ้งอินฟอร์เมชั่น จำกัด โทร 02-575-3007-8 รับจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วน บริษัท บุุคคลธรรมดา พร้อมนำส่งงบการเงิน DBD E-filing รับวางระบบบัญชีด้วยโปรแกรมบัญชี Express ให้บริการยื่นแบบผ่านทางอินเตอร์เน็ต และสื่อคอมพิวเตอร์ รับวางแผนภาษี และเคลียภาษีสรรพากร ตรวจสอบ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI-Business) รับแก้ไขปัญหาคดีรับหมายเรียกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฐานความผิดไม่ยื่นงบการเงิน หรือส่งงบการเงินล่าช้า เกินกำหนดดังกล่าว โดยประหยัดและถูกต้อง
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษีเงินได้นิติบุคคล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษีเงินได้นิติบุคคล แสดงบทความทั้งหมด
วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
สรุปอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SME ประจำปี 2559
ที่มาจากเอกสารประกอบการสัมมนา ยื่นแบบ ภงด 50 ง่ายกว่าที่คิด
จัดทำโดย นส.พรศิริ เหล่าพัชรกุล และ นส.กัลยาณี ยิ้มย่อง
อ้างอิงพระราชกิจจานุเบกษาคลิกเลย
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/A/033/42.PDF
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล SME ที่ได้ลงทะเบียนบัญชีชุดเดียว
สิทธิ์ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล SME ปี 59 อัตรา 0 %
คลิกอ่านเพิ่มเติม
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/01/58.html
ตรวจสอบสิทธิการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลปี 2559
ตาม พรฎ. 595 พ.ศ.2558 (สำหรับรายที่จดแจ้งบัญชีเดียว+ทุนไม่เกิน 5 ล้านรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท)
https://edss.sys.rd.go.th/sme/index3.jsp
เงื่อนไข นิติบุุคคล SME คือ ทุนที่ชำระแล้ว ณ วันสิ้นงวด ไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ตั้งแต่ปี 55 ไม่เคยเกิน 30 ล้านบาท ถ้าหลังจากปี 55 เคยเกิน 30 ล้านบาทแล้วจะไม่สามารถนับเป็น SME ได้ ครับ
อ้างอิง -ข้อมูลจาก fanpages ;- สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ครับ
ปล. กิจการไม่มีความเกี่ยวข้องใด กับท่านอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ นะครับ ข้อมูลที่นำมาอ้างอิง เพื่อประโยชน์ เพื่อผู้เสียภาษีเท่านั้น นะครับ
คุณมานิตย์ "Marnit Aongphisud" กับ Tor Upp และ 3 อื่นๆ ได้โพสต์ไปในไทม์ไลน์ เมื่อ 17 ส.ค. 2556 เวลา 14:37 น. บริเวณ Bangkok ว่า
"เรียนอาจารย์สุเทพ รบวนขอความกระจ่างเรื่องการลดอัตราภาษีสำหรับ SME
"เรียนอาจารย์สุเทพ รบวนขอความกระจ่างเรื่องการลดอัตราภาษีสำหรับ SME
1. อ้างถึงรายละเอียดคำอธิบายในแบบ ภ.ง.ด.51 รอบปี 2556 ผมเข้าใจว่าเงื่อนไขเรื่องรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทจะพิจารณาเป็นรอบระยะเวลาบัญชีไป เช่น ถ้ารอบปี 2556 มีรายได้เกิน 30 ล้านบาทไม่สามารถเใช้สิทธิ์ SME ได้ และถ้ารอบปี 2557 มีรายได้ไม่ถึง 30 ล้านบาทสำหรับปี 2557 จะสามารถใช้สิทธิ์ SME ได้
2. อ้างถึงการปรึกษากับ RD Call Center พอดีเจ้าหน้าที่ให้คำอธิบายว่าถ้ามีรอบบัญชีใดมีรายได้เกิน 30 ล้านบาทจะถือว่ากิจการนั้นๆไม่ถือเป็น SME เช่น ถ้ารอบปี 2554 มีรายได้ 50 ล้านบาท รอบปี 2555 มีรายได้ 20 ล้านบาท และรอบปี 2556 มีรายได้ 20 ล้านบาท บริษัทฯจะไม่สามารถใช้สิทธิ์ SME ได้เนื่องจากรอบปี 2554 เคยมีรายได้เกิน 30 ล้านบาท
ขอขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้านะครับ"
ขอขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้านะครับ"
เรียน คุณมานิตย์ "Marnit Aongphisud"
ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 บัญญัติว่า
"มาตรา 8 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 6 และการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 7 ต้องไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและต้องไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป"
ดังนั้น หากตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นไป กิจการ SMEs ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อ กิจการนั้น ย่อมไม่ได้สิทธิเป็น SMEs ที่จะลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีนั้นเป็นต้นไป และไม่อาจกล้บคืนมาได้สิทธิดังเช่นพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับก่อนๆ อีกต่อไป
ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 บัญญัติว่า
"มาตรา 8 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 6 และการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 7 ต้องไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและต้องไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป"
ดังนั้น หากตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นไป กิจการ SMEs ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อ กิจการนั้น ย่อมไม่ได้สิทธิเป็น SMEs ที่จะลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีนั้นเป็นต้นไป และไม่อาจกล้บคืนมาได้สิทธิดังเช่นพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับก่อนๆ อีกต่อไป
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
1. การพิจารณาเงื่อนไขตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 ไม่อาจพิจารณาเป็นรอบรายระยะเวลาบัญชีดังเช่นที่เคยเป็นตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551 ได้อีกแล้ว เนื่องจากได้มีการกำหนดเงื่อนไขใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม โดยให้พิจารณาว่า ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นไป หากมีรอบระยะเวลาบัญชีปีใดไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 530) ก็ย่อมเสียสิทธิตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป ไม่อาจจะกลับมาใช้สิทธิตามมาตรา 6 และมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับดังกล่าวได้อีกเลย
กรณีรอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต้องพิจารณาด้วยว่า ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ซึ่งเป็นรอบแรกที่ต้องพิจารณาเงื่อนไขตาม พรฎ. (ฉบับที่ 530) ได้สิทธิตามมาตรา 6 และมาตรา 7 หรือไม่ หากรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ไม่ได้สิทธิแล้ว ก็จะพาให้รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เสียสิทธิไปด้วย และเสียสิทธิตลอดไป แต่ถ้ารอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ได้สิทธิ แต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 มีรายได้เกิน 30 ล้านบาท ก๋ทำให้เสียสิทธินับแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เป็นต่นไป แม้ว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2557 กิจการจะมีรายได้ไม่ถึง 30 ล้านบาทอีกก็ตาม
กรณีรอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต้องพิจารณาด้วยว่า ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ซึ่งเป็นรอบแรกที่ต้องพิจารณาเงื่อนไขตาม พรฎ. (ฉบับที่ 530) ได้สิทธิตามมาตรา 6 และมาตรา 7 หรือไม่ หากรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ไม่ได้สิทธิแล้ว ก็จะพาให้รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เสียสิทธิไปด้วย และเสียสิทธิตลอดไป แต่ถ้ารอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ได้สิทธิ แต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 มีรายได้เกิน 30 ล้านบาท ก๋ทำให้เสียสิทธินับแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เป็นต่นไป แม้ว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2557 กิจการจะมีรายได้ไม่ถึง 30 ล้านบาทอีกก็ตาม
2. กรณีที่บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยรอบระยะเวลาบัญชีปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้ 50 ล้านบาท แต่ครั้นรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้ 20 ล้านบาท และรอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 บริษัทฯ ก็มีรายได้ 20 ล้านบาท เช่นนี้ บริษัทฯ ยังคงสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของกิจการ SME ตามพรฎ. (ฉบับที่ 530) มาตรา 6 และมาตรา 7 ได้ เพราะเป็นกฎหมายคนละฉบับกับ พรฎ. (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551 ซึงในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2554 บริษัทฯ เคยมีรายได้เกิน 30 ล้านบาท ซึ่งเสียลิทธิตาม พรฎ. (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551 ครั้นในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ตัองเริ่มพิจารณาหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามพรฎ. (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 กันใหม่
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
สรุป พรก 604 ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน พร้อมตัวอย่างประกอบการคำนวณเฉลี่ยสิทธิ์ประโยชน์ ตามประกาศอธิบดี 266
สามารถอ่านฉบับสรุปได้ตามคลิกลิงก์ หน้า 35 -36 ครับ
http://www.rd.go.th/fileadmin/download/16209manual.pdf
สามารถอ่าน พรก 604 ฉบับเต็มได้ที่
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/04/604-31158-311259.html
สามารถอ่านประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเพิ่มเติม ฉบับที่ 266 และ ฉบับที่ 270 ได้ที่
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/06/266-1.html
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559
คู่มือภาษีอากรสำหรับกิจการร้านทองเฉพาะกรณีโอนกิจการทั้งหมดจากบุคคลธรรมดาเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
คู่มือภาษีอากรสำหรับกิจการร้านทองเฉพาะกรณีโอนกิจการทั้งหมดจากบุคคลธรรมดาเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพื่อให้การจัดทำบัญชีและการเสียภาษีอากรเป็นไปอย่างมีระบบ ถูกต้องครบถ้วน และเป็นมาตรฐานเดียวกันในกลุ่มธุรกิจ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/thong200659.pdf
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/thong200659.pdf
วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
การนำค่าโฆษณา google adword มาลงเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท
ลงโฆษณา google จ่ายค่าโฆษณา ไปที่ ireland ถือเป็นเงินได้ 40 (8) ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
แต่ใช้ในประเทศไทยต้องจ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่าน ภพ 36 อ่านรายละเอียด ตามเอกสารประกอบ
อ้างอิงการตอบจากจดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพกร เลขที่ กค 0706/10491
เรื่อง : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายเงินไปต่างประเทศ
ข้อกฎหมาย: มาตรา 77/2 มาตรา 85/6(2) มาตรา 41 มาตรา 80/1(2) มาตรา 70 มาตรา 80 มาตรา 40(8) มาตรา 40(2) และมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร
1.บริษัท ด. ประกอบกิจการเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เมื่อลูกค้าของบริษัทฯ ได้ว่าจ้างบริษัทฯ ทำกราฟฟิกดีไซน์ พัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์ทำการตกลงเกี่ยวกับการบริการและขอบเขตการดำเนินงานตลอดจนราคาแล้ว บริษัทฯจะติดต่อผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศอินเดียให้ดำเนินการอีกทอดหนึ่งหลังจากที่ผู้รับจ้างทำงานเสร็จและส่งมอบงานแล้ว บริษัทฯจะส่งมอบงานให้ลูกค้าและเรียกเก็บเงินต่อไปโดยผู้รับจ้างไม่มีลิขสิทธิ์ในงานที่ทำจึงขอทราบว่า
1.1การจ่ายเงินค่าจ้างให้กับผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศอินเดียนั้นจะต้องหักภาษีณ ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
1.2กรณีบริษัทฯส่งงานดังกล่าวให้กับลูกค้าในต่างประเทศโดยลูกค้าจะได้รับลิขสิทธิ์เต็มตลอดจนซอร์สโคด (Source Code) ในโปรแกรมดังกล่าวค่าบริการที่บริษัทฯ ได้รับจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
2. การชำระค่าโฆษณาและการรับชำระค่าโฆษณากรณีลูกค้าอยู่ประเทศไอร์แลนด์
2.1ในทุก ๆ เดือน บริษัทฯ จะชำระค่าโฆษณาในSearch engine ให้กับบริษัท G. ในประเทศไอร์แลนด์บริษัทฯ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
2.2บริษัทฯ ได้ให้ G. ใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯ ในการโฆษณา จะต้องหักภาษี ณที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
3. บริษัทฯ ได้ซื้อ License Keys และ Support Contracts จากบริษัท ล. โดยบริษัทฯ จะไม่ได้รับลิขสิทธิ์ในโปรแกรมนี้ นอกจากการมีสิทธิในการขายให้กับลูกค้าเท่านั้น กรณีของSupportContracts นั้นในปีแรกไม่มีค่าบริการ ในปีถัดไปหากลูกค้าไม่ซื้อ Support Contracts ลูกค้าจะไม่ได้รับบริการใด ๆ เช่นไม่มีสิทธิในการอัพเกรดโปรแกรม แต่ลูกค้ายังคงใช้โปรแกรมเก่าที่มีอยู่ต่อไปได้การจ่ายค่า License Keys ให้กับบริษัทล. จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ส่วนค่าบริการ SupportContracts นั้น บริษัท ล. ตกลงให้บริษัทฯหักภาษี ณ ที่จ่ายจากใบแจ้งหนี้ก่อนที่บริษัทฯ จะชำระเงินจึงขอทราบอัตราการหักภาษี ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มตลอดจนวิธีคำนวณภาษี
ขอตัดมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง
2.กรณีตาม 2. การชำระค่าโฆษณาและรับชำระค่าโฆษณา มีภาระภาษีหักณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้
2.1กรณีตามข้อ 2.1 บริษัทฯ จ่ายค่าโฆษณาใน Searchengine ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตให้กับG. ในประเทศไอร์แลนด์เป็นกรณีที่ G. ลงโฆษณาให้กับบริษัทฯใน Search engine ซึ่งเป็นการให้บริการในต่างประเทศค่าตอบแทนกรณีการให้บริการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(8) แห่งประมวลรัษฎากรบริษัทฯไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใดไม่ว่าผู้ให้บริการในต่างประเทศจะอยู่ในประเทศที่มีข้อตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่และหากการลงโฆษณาดังกล่าวบริษัทฯได้นำผลจากการโฆษณามาใช้ย่อมเข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ให้บริการมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ7.0 ทั้งนี้ ตามมาตรา77/2 และมาตรา 83/6(2)แห่งประมวลรัษฎากร
2.2กรณีตามข้อ 2.2 กรณีบริษัทฯ ให้ G. ใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯเพื่อโฆษณาตามข้อเท็จจริงเข้าลักษณะเป็นการให้บริการอันถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(8) แห่งประมวลรัษฎากรบริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใดและกรณีการใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯ เพื่อโฆษณาซึ่งลูกค้าในประเทศไทยอาจใช้บริการเปิดข้อมูลเว็บไซต์จากการโฆษณานั้นได้จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศและได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมดแต่ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105)ฯ ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543
ต้องการดูจดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพากรฉบับเต็ม คลิกลิงก์ได้เลย ครับ
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
ภาษีเงินได้นิติบุคคล ของกิจการร่วมค้า
1.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการร่วมค้า ต้องใช้อัตราปกติ ไม่ได้สิทธิ SME
อ้างอิง :-
เลขที่หนังสือ | : กค 0702/2018 |
วันที่ | : 17 มีนาคม 2553 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการร่วมค้า |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 39 มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 4 มาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 |
ข้อหารือ | กรณีกิจการร่วมค้าฯ คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ถูกต้องครบถ้วน เนื่องจากกิจการร่วมค้าฯ คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยใช้อัตราลดภาษี ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 431) พ.ศ. 2548 และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 ซึ่งกิจการร่วมค้าฯ เห็นว่า กิจการร่วมค้าฯ ถือเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร และมีเงินลงทุนไม่เกิน 5,000,000 บาท ถือเป็นกิจการขนาดย่อม (SMEs) จึงมีสิทธิลดอัตราภาษีในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ จึงขอทราบว่า กิจการร่วมค้าฯ มีสิทธิใช้สิทธิประโยชน์ในการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 431) พ.ศ. 2548 และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 ได้หรือไม่ |
แนววินิจฉัย | 1.กรณีกิจการร่วมค้าฯ ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เข้าลักษณะเป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในฐานะเป็นหน่วยภาษีเช่นเดียวกับนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไทย กิจการร่วมค้าฯ ต้องนำเงินได้ที่ได้รับจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการ มาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ในนามกิจการร่วมค้าฯ 2. กรณีตามมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 บัญญัติว่า "... มาตรา 4 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ เฉพาะบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท (1) ร้อยละสิบห้าของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท แต่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท (2) ร้อยละยี่สิบห้าของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท มาตรา 5 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลดังกล่าว เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ...." ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว นั้น หมายถึง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น ดังนั้น กรณีตาม 1. และ 2. กิจการร่วมค้าฯ ซึ่งไม่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ จึงไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าว แต่อย่างใด |
เลขตู้ | : 73/37203 |
2.ผลขาดทุนจากกิจการร่วมค้า สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ตามสัดส่วนเมื่อเลิกกิจการและมีผลขาดทุนจากการชำระบัญชี
ค่าเผื่อการลดมูลค่าเงินลงทุนทางบัญชี ไม่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ต้องบวกกลับ แล้วรอจนเลิกกิจการชำระบัญชี
อ้างอิง
เลขที่หนังสือ | : กค 0702/3143 |
วันที่ | : 10 มิถุนายน 2551 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีผลขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้า |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 65 ตรี (13) และมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร |
ข้อหารือ | กรณีบริษัท A ขอคืนภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 บริษัท A ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2550 บริษัท A จึงขอทราบว่า ผลขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้า บริษัท A มีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายในการ คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้หรือไม่ |
แนววินิจฉัย | กรณีกิจการร่วมค้า ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จะต้อง เข้าลักษณะ ดังต่อไปนี้ 1. ได้ตกลงเข้าร่วมทุนกัน ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สิน แรงงานหรือเทคโนโลยี หรือร่วมกันในผลกำไร หรือขาดทุนอันจะพึงได้ตามสัญญาที่กระทำร่วมกันกับบุคคลภายนอก หรือ 2. ได้ร่วมกันทำสัญญากับบุคคลภายนอก โดยระบุในสัญญาว่า เป็นกิจการร่วมค้า 3. ได้ร่วมกันทำสัญญากับบุคคลภายนอก โดยสัญญากำหนดให้ต้องรับผิดร่วมกันในงานที่ทำไม่ว่า ทั้งหมดหรือบางส่วน และต้องรับค่าตอบแทนตามสัญญาร่วมกัน โดยสัญญาไม่ได้แบ่งแยกงานและค่าตอบแทน ระหว่างกันไว้อย่างชัดเจน หากกิจการร่วมค้าระหว่างบริษัท A และ B เข้าลักษณะเป็นกิจการร่วมค้าดังกล่าว ถือว่ากิจการร่วมค้า เป็นคนละหน่วยภาษีกับบริษัทผู้เข้าร่วมค้า อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผลขาดทุนสุทธิของกิจการร่วมค้าจะนำมาหักเป็นรายจ่ายของบริษัทผู้เข้าร่วมค้าไม่ได้ แต่ถ้ากิจการ ร่วมค้าเลิกประกอบกิจการ และได้จัดแบ่งคืนทุนให้แก่บริษัทผู้เข้าร่วมค้า เป็นจำนวนต่ำกว่าทุนที่ลงในกิจการ ร่วมค้า กรณีย่อมถือได้ว่าผลขาดทุนจากการลงทุนนั้นเป็นผลขาดทุนที่เกิดจากการประกอบกิจการของบริษัท ผู้เข้าร่วมค้าและเนื่องจากบริษัท A อยู่ระหว่างการตรวจคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ดังนั้น หากผลการตรวจของเจ้าพนักงานฯ ปรากฏ โดยชัดแจ้งว่า กิจการร่วมค้าได้เลิกประกอบกิจการและบริษัท A มีผลขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้า บริษัท A ย่อมมีสิทธินำผลขาดทุนจากการลงทุนนั้น มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี เงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฎากร |
เลขตู้ | : 71/35930 |
3.ส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับจากกิจการร่วมค้าได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากได้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในนามของกิจการร่วมค้า
อ้างอิง
“มาตรา 5 ทวิ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการในประเทศไทย ให้แก่
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.119/2545)
( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.122/2545)
(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและประกอบกิจการในประเทศไทย”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 108) พ.ศ. 2524 ใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีในหรือหลัง 31 ธันวาคม 2523 เป็นต้นไป)
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/04292 |
วันที่ | : 9 เมษายน 2541 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีกิจการร่วมค้า |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 65, มาตรา 66, พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500, พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 108) พ.ศ. 2524 |
ข้อหารือ | : บริษัท A จำกัด บริษัท B จำกัด บริษัท C จำกัด บริษัท D จำกัด บริษัท E จำกัด และ บริษัท F จำกัด ร่วมกันซื้อที่ดิน 1 แปลง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างท่อรับและส่งผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบ เช่น การวางท่อส่งก๊าซต่าง ๆ ท่อส่งของเหลวหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นในลักษณะเดียวกัน ในการร่วมกันซื้อ ที่ดินดังกล่าวได้มีเงื่อนไขว่า หากมีบุคคลอื่นที่ประกอบกิจการอย่างเดียวกันประสงค์จะใช้ประโยชน์ใน วัตถุประสงค์อย่างเดียวกันผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมทั้ง 6 ต้องให้ความยินยอม และผู้ขอเข้าร่วมกรรมสิทธิ์ต้อง จ่ายค่าที่ดินให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมพร้อมดอกเบี้ย ขอหารือว่า 1. กิจการดังกล่าวเป็นกิจการร่วมค้าหรือไม่ 2. หากว่าไม่เป็นกิจการร่วมค้า จะให้บริษัทปฏิบัติในการรับ-จ่ายอย่างไร 3. หากว่าเป็นกิจการร่วมค้า เมื่อรับเงินค่าที่ดินจากบุคคลที่เข้าร่วมกรรมสิทธิ์ใหม่แล้ว กิจการร่วมค้าจะต้องจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะและจะจ่ายคืนค่าที่ดินตามราคาที่ซื้อมาให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิม ทั้ง 6 รายได้หรือไม่ 4. ผลกำไร หมายถึง ดอกเบี้ยที่คิดเท่ากับ N = A/x(1+i)n ของบันทึกข้อตกลงหลังหัก ค่าใช้จ่ายจะต้องนำไปเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 30 จากนั้นจะแบ่งให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมทั้ง 6 ราย รายละเท่า ๆ กัน โดยผู้รับไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอีกใช่หรือไม่ N = ค่าที่ดินที่ผู้ประสงค์เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมรายใหม่ต้องชำระ I = MOR + 3% (ใช้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ณ วัน ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของร่วม A = ราคาที่ดินที่จัดซื้อจากผู้ขาย x = จำนวนผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมรายเดิม + จำนวนผู้ประสงค์เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ราย ใหม่ n = ระยะเวลานับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย |
แนววินิจฉัย | : 1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล การดำเนินกิจการของบริษัททั้ง 6 ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เข้าลักษณะเป็น กิจการร่วมค้า จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร ใน การคำนวณรายได้และรายจ่ายให้ใช้เกณฑ์สิทธิ์ โดยให้นำรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด แม้ว่า จะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น และให้ นำรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้น แม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็น รายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ผลกำไรที่บริษัททั้ง 6 ได้จากการประกอบกิจการตามข้อเท็จจริงดังกล่าว บริษัททั้ง 6 ในฐานะกิจการร่วมค้า ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ สำหรับเงินส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทฯ ผู้เข้าร่วมค้า ซึ่งเป็นบริษัทฯ หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตาม กฎหมายไทย ได้รับจากกิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการในประเทศไทย ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 5 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 ลงวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2500 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 108) พ.ศ. 2524 ลงวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2524 2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีบริษัททั้ง 6 ยอมให้บุคคลอื่นเข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ถือ เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 91/1 (4) แห่งประมวลรัษฎากร อยู่ในบังคับต้องเสีย ภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร |
เลขตู้ | : 61/26576 |
4.ปัญหาที่พบในกิจการค้า ในทางปฎิบัติในบางกรณีพบว่า ทำสัญญาในนามกิจการร่วมค้า แต่ทำธุรกรรมจริงไปทำที่นิติบุคคลที่เป็นหุ้นส่วนในกิจการร่วมค้า กรมสรรพากรไม่ยอมรับ ต้องดำเนินการเสียภาษีในนามกิจการร่วมค้าตามสัญญา
อ้างอิง
เลขที่หนังสือ | : กค 0706/12382 |
วันที่ | : 21 ธันวาคม 2550 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีกิจการร่วมค้า |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 39 และมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร |
ข้อหารือ | บริษัท ช. และบริษัท ก. ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในประเทศไทย ได้เข้าทำสัญญากับ ค.ในนามกิจการร่วมค้า บ. (กิจการร่วมค้า บ.) เพื่อรับจ้างก่อสร้างโครงการ ให้กับ ค. สัญญาที่ทำไว้กับ ค. ระบุให้บริษัททั้งสองต้องร่วมกันดำเนินงาน ในลักษณะของผู้ร่วมดำเนินกิจการ ทั้งในส่วนของรายละเอียดขอบเขตการก่อสร้าง ระบบการก่อสร้าง ค่าตอบแทน เงินล่วงหน้า การชดใช้เงินล่วงหน้า การจัดหาที่ดิน การแบ่งงวดงานการก่อสร้าง และความรับผิดชอบต่องานตามสัญญา ซึ่งเป็นความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม อย่างไรก็ตามบริษัททั้งสองได้ทำบันทึกข้อตกลงในระหว่างกันเองในการร่วมกันทำงานโครงการก่อสร้างตามบันทึกข้อตกลงในการร่วมทำงานในโครงการก่อสร้างบ้าน ซึ่งได้กำหนดให้บริษัททั้งสองแบ่งแยกงานค่าใช้จ่าย ค่าตอบแทน และความรับผิดชอบต่องานตามสัญญา ดังนี้ 1. ช. มีหน้าที่ก่อสร้างอาคาร ระบบสาธารณูปโภคภายนอกอาคาร ติดตั้งระบบไฟฟ้า และน้ำประปา ส่วน ก. มีหน้าที่จัดหาที่ดิน ถมดิน และประสานงานเกี่ยวกับเรื่องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม 2. ช. รับผิดชอบค่าตรวจสอบ ค่าใช้จ่ายในการติดตามผลงานเป็นเวลา 5 ปี ค่าปรับเนื่องจากงานล่าช้า และต้องวางเงินกับธนาคารเพื่อประกันการชำรุดเป็นเวลา 2 ปี ส่วน ก. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตก่อสร้างอาคารสำนักงาน 3. ช. ได้รับรายได้โดยตรงจาก ค. ในส่วนของค่าก่อสร้างอาคาร ระบบสาธารณูปโภค ส่วน ก. ได้รับรายได้โดยตรงจากส่วนของค่าที่ดิน 4. ช. รับผิดชอบค่าเสียหายเนื่องจากการดำเนินงานล่าช้าในส่วนของ ช.ให้แก่ ค. ส่วน ก. รับผิดในความชำรุด บกพร่องจากงานถมดิน บริษัททั้งสอง จึงขอหารือว่า ค่าตอบแทนที่ได้รับจาก ค. สำหรับโครงการก่อสร้างดังกล่าว จะต้องเสียภาษีอากรในนามของกิจการร่วมค้า (Joint Venture) หรือของบริษัททั้งสองแยกต่างหากจากกัน |
แนววินิจฉัย | หากการแบ่งแยกงาน ค่าใช้จ่าย ความรับผิดชอบ และค่าตอบแทน เป็นความตกลงที่ทำขึ้นระหว่างบริษัททั้งสองที่เข้าร่วมกิจการร่วมค้าเท่านั้น โดยภายใต้สัญญาการก่อสร้างกับ ค. บริษัททั้งสองอยู่ในฐานะผู้ร่วมดำเนินกิจการที่ไม่มี ทั้งข้อกำหนดในการแบ่งแยกงาน และค่าตอบแทนออกจากกันอย่างชัดแจ้งแต่อย่างใด ดังนั้น การดำเนินกิจการร่วมกันของบริษัททั้งสองดังกล่าว จึงเข้าลักษณะเป็นกิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไรซึ่งถือเป็นกิจการร่วมค้า ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร กิจการร่วมค้า บ. ต้องนำเงินได้ที่ได้รับจากการก่อสร้างโครงการฯ มาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากรในนามของกิจการร่วมค้า |
เลขตู้ | : 70/35528 |
เลขที่หนังสือ | : กค 0706/12698 |
วันที่ | : 22 ธันวาคม 2546 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการประกอบกิจการร่วมกันของนิติบุคคล |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 39 |
ข้อหารือ | : บริษัทฯ หารือเกี่ยวกับลักษณะการประกอบกิจการของนิติบุคคล มีรายละเอียดดังนี้ 1. บริษัท อ. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. ได้ทำหนังสือสัญญากิจการร่วมค้า ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2546 สรุปได้ว่า 1.1 วัตถุประสงค์ของการร่วมค้า เพื่อเข้าร่วมกันประกวดราคาก่อสร้างปรับปรุงท่าเรือ ท่องเที่ยวบนเกาะสมุย (ท่าเรือเล็กและท่าเรือยอร์ช) ของเทศบาลตำบลเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1.2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. เป็นผู้รับผิดชอบหลักและตกลงมอบอำนาจให้บริษัทฯ โดย นาย จ. เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการประกวดราคา รวมถึงดูสถานที่ก่อสร้างและรับฟังคำชี้แจงเพิ่มเติม ยื่นซอง ประกวดราคา การเสนอราคาและลงนามในใบเสนอราคา การต่อรองราคา และการทำสัญญาจ้างของ งานดังกล่าว และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงอนุญาตให้ผลงานก่อสร้างของแต่ละฝ่ายใช้ดำเนินการเพื่อการนี้ กับเทศบาลตำบลเกาะสมุย 1.3 ทั้งสองฝ่ายใช้ชื่อว่า กิจการร่วมค้า บริษัท อ. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. แต่ ไม่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ 1.4 ทั้งสองฝ่ายเข้ามีส่วนร่วมในสิทธิและความรับผิดที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับ กิจการร่วมค้า โดยเฉพาะในผลกำไรหรือผลขาดทุน โดยแต่ละฝ่ายรับผิดชอบร้อยละ 50 2. กิจการร่วมค้า บริษัท อ. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. ได้เข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้าง ปรับปรุงท่าเรือท่องเที่ยวบนเกาะสมุย 3. กิจการร่วมค้าฯ ได้มีหนังสือถึงนายกเทศมนตรีตำบลเกาะสมุย โดยให้บริษัท อ.เป็น ผู้ดำเนินการก่อสร้างแต่เพียงผู้เดียวเต็ม 100% 4. หนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 10 มีนาคม 2546 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. โดยนางสาว น. ได้มอบอำนาจให้บริษัทฯ โดย นาย จ. มีอำนาจกระทำการแทนในกิจการร่วมค้าฯ และอีกในนามของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. ดังนี้ 4.1 ให้มีอำนาจเข้าทำสัญญาจ้างในนามของกิจการร่วมค้า 4.2 ให้เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานก่อสร้าง 4.3 ให้มีอำนาจเสนอแก้ไขแบบแปลนการก่อสร้าง ค่าจ้าง การจ่ายเงินงวดงาน 4.4 ให้มีอำนาจรับเงินเบิกจ่าย บริษัทฯ เห็นว่า แม้จะใช้ชื่อในการทำสัญญากับคู่สัญญาว่าเป็นกิจการร่วมค้า แต่การร่วมกันของ ทั้งสองกิจการไม่เป็นกิจการร่วมค้าเพราะลักษณะของการร่วมกิจการของบริษัทฯไม่มีลักษณะของ กิจการร่วมค้า (Joint Venture) แต่เป็นลักษณะของกลุ่มบริษัท (Consortium)เนื่องจาก 1. บริษัททั้งสองมิได้ร่วมลงทุนในกิจการ เป็นต้นว่า ค่าวัสดุก่อสร้าง บริษัทฯ เป็นผู้มี ค่าใช้จ่ายเพียงฝ่ายเดียว ด้วยหลักฐานใบกำกับภาษีและใบสำคัญอื่น ๆ โดยข้อเท็จจริง บริษัทฯ เป็น ผู้ลงทุนฝ่ายเดียว 100% 2. ไม่มีการแบ่งผลกำไรขาดทุนระหว่างกัน เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. มิได้ลงทุนในการ ก่อ 1 สร้าง 3. หากบริษัทร่วมค้าต้องจดทะเบียนนิติบุคคลขึ้นใหม่ จะมีสถานะเป็นนิติบุคคลใหม่ แต่เมื่อ ทั้งสองมิได้จดทะเบียนใหม่ จึงมีสถานะเป็นกลุ่มบริษัท (Consortium) และไม่เป็นหน่วยภาษีใหม่ และ ไม่ต้องขอมีบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี 4. ในการรับเงินค่าก่อสร้างจากผู้ว่าจ้างตามงวดงาน ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายเงินในนาม บริษัทฯ เป็นผู้รับเงินแต่เพียงผู้เดียว และบริษัทฯ เป็นผู้ออกใบแจ้งหนี้/ใบกำกับภาษี และใบเสร็จรับเงิน 5. เมื่อเอกสารประกวดราคาจ้างมิได้กำหนดคุณสมบัติหรือเงื่อนไขของผู้ประกวดราคาจ้าง ผู้ เข้าประกวดราคาจึงสามารถเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลใด ๆ ก็ได้ |
แนววินิจฉัย | : สัญญากิจการร่วมค้าระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. กับบริษัท อ. มีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าทำ การประกวดราคาก่อสร้างปรับปรุงท่าเรือท่องเที่ยวบนเกาะสมุยกับสำนักงานเทศบาลตำบลเกาะสมุย ไม่มีการแบ่งแยกงาน ความรับผิดชอบและการรับเงินค่าจ้างอย่างชัดเจน และกำหนดให้บริหารกิจการใน รูปคณะกรรมการบริหารซึ่งแต่งตั้งจากนิติบุคคลทั้งสองฝ่าย โดยยึดถือหลักถ้อยทีถ้อยอาศัย เพื่อประโยชน์ สูงสุดของกิจการร่วมค้า และสัญญาจ้างระบุโดยชัดแจ้งว่า เข้าทำสัญญาในลักษณะกิจการร่วมค้า ไม่มี การแบ่งแยกงาน ความรับผิดและการรับเงินค่างวดงาน ดังนั้น การร่วมดำเนินการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. และบริษัท อ. จึงเป็นการดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไร ระหว่างบริษัทกับห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล เข้าลักษณะเป็นกิจการร่วมค้า ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร กิจการร่วมค้าจึงอยู่ใน บังคับต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร และกิจการร่วมค้ามีหน้าที่ยื่น คำขอมีเลขและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร สำหรับการที่บริษัทฯ อ้างว่า ไม่มีวัตถุประสงค์ดำเนินการในลักษณะกิจการร่วมค้า แต่มาร่วม ดำเนินงานโดยอาศัยสัญญาระหว่างกันเท่านั้น จึงไม่เป็นหน่วยภาษีใหม่และไม่ต้องขอมีเลขและ บัตรประจำตัวผู้เสียอากร และบริษัทฯ เป็นผู้ออกใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงินและเอกสาร ทางการเงินอื่น ๆ นั้น ถือว่า เป็นข้อตกลงภายในของกิจการร่วมค้าไม่อาจนำมาเป็นข้อยกเว้นใน การปฏิบัติตามกฎหมายได้ |
เลขตู้ | : 66/32757 |

ข้อจำกัดความรับผิดชอบความเห็นข้างต้น.:- สรุปความเห็นทั้งหมดจากข้อมูลอ้างอิง ข้อหารือกรมสรรพากรข้างต้น เท่านั้น ขอให้ผู้นำไปใช้วิเคราะห์ตามข้อมูลของแต่ละสถานการณ์
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
กำหนดการนำส่งงบการเงินสำหรับนิติบุคคลงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธค 58
สำหรับกรมสรรพากร นำส่งแบบ ภงด 50 ประจำปี 2558
ส่งทางเอกสาร :- จันทร์ที่ 30 พค 59
ส่งทางเน็ต :- จันทร์ที่ 6 มิย 59
เนื่องจากกำหนด 150 วันนับจากวันสิ้นงวด และในปี 2559 มี 29 กพ 59
ส่งทางเน็ตเท่านั้น :- อังคารที่ 31 พค 59
เฉพาะปีนี้อนุโลมให้ส่งด้วยเอกสาร :- อังคารที่ 31 พค 59 หลังจากนั้นต้องนำส่งเอกสารทางเน็ตภายใน 30 วันหลังจากส่งด้วยเอกสาร การไม่ส่งเอกสารทางเน็ต มีความผิดเท่ากับไม่ได้นำส่งงบการเงิน
คลิ๊กเพื่ออ่านคู่มือการนำส่งงบการเงินปี 2559 ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
http://www.dbd.go.th/download/document_file/balance/manual_finacial2559.pdf
สำนักงานบัญชีขอความกรุณาไม่ตอบข้อซักถามใด ปัญหาการทำ DBD e-filing
คู่มือการนำส่ง DBD e-filing ฉบับเต็มของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
http://www.dbd.go.th/download/document_file/manual_e-Filing.pdf
วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
ประกาศ อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SME ตั้งแต่ปี 58 ขึ้นไป
อ้างอิงพระราชกิจจานุเบกษาคลิกเลย
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/A/033/42.PDF
เงื่อนไข นิติบุุคคล SME คือ ทุนที่ชำระแล้ว ณ วันสิ้นงวด ไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ตั้งแต่ปี 55 ไม่เคยเกิน 30 ล้านบาท ถ้าหลังจากปี 55 เคยเกิน 30 ล้านบาทแล้วจะไม่สามารถนับเป็น SME ได้ ครับ
อ้างอิง -ข้อมูลจาก fanpages ;- สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ครับ
ปล. กิจการไม่มีความเกี่ยวข้องใด กับท่านอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ นะครับ ข้อมูลที่นำมาอ้างอิง เพื่อประโยชน์ เพื่อผู้เสียภาษีเท่านั้น นะครับ
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/A/033/42.PDF
เงื่อนไข นิติบุุคคล SME คือ ทุนที่ชำระแล้ว ณ วันสิ้นงวด ไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ตั้งแต่ปี 55 ไม่เคยเกิน 30 ล้านบาท ถ้าหลังจากปี 55 เคยเกิน 30 ล้านบาทแล้วจะไม่สามารถนับเป็น SME ได้ ครับ
อ้างอิง -ข้อมูลจาก fanpages ;- สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ครับ
ปล. กิจการไม่มีความเกี่ยวข้องใด กับท่านอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ นะครับ ข้อมูลที่นำมาอ้างอิง เพื่อประโยชน์ เพื่อผู้เสียภาษีเท่านั้น นะครับ
คุณมานิตย์ "Marnit Aongphisud" กับ Tor Upp และ 3 อื่นๆ ได้โพสต์ไปในไทม์ไลน์ เมื่อ 17 ส.ค. 2556 เวลา 14:37 น. บริเวณ Bangkok ว่า
"เรียนอาจารย์สุเทพ รบวนขอความกระจ่างเรื่องการลดอัตราภาษีสำหรับ SME
"เรียนอาจารย์สุเทพ รบวนขอความกระจ่างเรื่องการลดอัตราภาษีสำหรับ SME
1. อ้างถึงรายละเอียดคำอธิบายในแบบ ภ.ง.ด.51 รอบปี 2556 ผมเข้าใจว่าเงื่อนไขเรื่องรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทจะพิจารณาเป็นรอบระยะเวลาบัญชีไป เช่น ถ้ารอบปี 2556 มีรายได้เกิน 30 ล้านบาทไม่สามารถเใช้สิทธิ์ SME ได้ และถ้ารอบปี 2557 มีรายได้ไม่ถึง 30 ล้านบาทสำหรับปี 2557 จะสามารถใช้สิทธิ์ SME ได้
2. อ้างถึงการปรึกษากับ RD Call Center พอดีเจ้าหน้าที่ให้คำอธิบายว่าถ้ามีรอบบัญชีใดมีรายได้เกิน 30 ล้านบาทจะถือว่ากิจการนั้นๆไม่ถือเป็น SME เช่น ถ้ารอบปี 2554 มีรายได้ 50 ล้านบาท รอบปี 2555 มีรายได้ 20 ล้านบาท และรอบปี 2556 มีรายได้ 20 ล้านบาท บริษัทฯจะไม่สามารถใช้สิทธิ์ SME ได้เนื่องจากรอบปี 2554 เคยมีรายได้เกิน 30 ล้านบาท
ขอขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้านะครับ"
ขอขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้านะครับ"
เรียน คุณมานิตย์ "Marnit Aongphisud"
ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 บัญญัติว่า
"มาตรา 8 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 6 และการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 7 ต้องไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและต้องไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป"
ดังนั้น หากตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นไป กิจการ SMEs ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อ กิจการนั้น ย่อมไม่ได้สิทธิเป็น SMEs ที่จะลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีนั้นเป็นต้นไป และไม่อาจกล้บคืนมาได้สิทธิดังเช่นพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับก่อนๆ อีกต่อไป
ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 บัญญัติว่า
"มาตรา 8 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 6 และการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 7 ต้องไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและต้องไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป"
ดังนั้น หากตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นไป กิจการ SMEs ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อ กิจการนั้น ย่อมไม่ได้สิทธิเป็น SMEs ที่จะลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีนั้นเป็นต้นไป และไม่อาจกล้บคืนมาได้สิทธิดังเช่นพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับก่อนๆ อีกต่อไป
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
1. การพิจารณาเงื่อนไขตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 ไม่อาจพิจารณาเป็นรอบรายระยะเวลาบัญชีดังเช่นที่เคยเป็นตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551 ได้อีกแล้ว เนื่องจากได้มีการกำหนดเงื่อนไขใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม โดยให้พิจารณาว่า ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นไป หากมีรอบระยะเวลาบัญชีปีใดไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 530) ก็ย่อมเสียสิทธิตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป ไม่อาจจะกลับมาใช้สิทธิตามมาตรา 6 และมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับดังกล่าวได้อีกเลย
กรณีรอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต้องพิจารณาด้วยว่า ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ซึ่งเป็นรอบแรกที่ต้องพิจารณาเงื่อนไขตาม พรฎ. (ฉบับที่ 530) ได้สิทธิตามมาตรา 6 และมาตรา 7 หรือไม่ หากรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ไม่ได้สิทธิแล้ว ก็จะพาให้รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เสียสิทธิไปด้วย และเสียสิทธิตลอดไป แต่ถ้ารอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ได้สิทธิ แต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 มีรายได้เกิน 30 ล้านบาท ก๋ทำให้เสียสิทธินับแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เป็นต่นไป แม้ว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2557 กิจการจะมีรายได้ไม่ถึง 30 ล้านบาทอีกก็ตาม
กรณีรอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต้องพิจารณาด้วยว่า ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ซึ่งเป็นรอบแรกที่ต้องพิจารณาเงื่อนไขตาม พรฎ. (ฉบับที่ 530) ได้สิทธิตามมาตรา 6 และมาตรา 7 หรือไม่ หากรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ไม่ได้สิทธิแล้ว ก็จะพาให้รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เสียสิทธิไปด้วย และเสียสิทธิตลอดไป แต่ถ้ารอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ได้สิทธิ แต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 มีรายได้เกิน 30 ล้านบาท ก๋ทำให้เสียสิทธินับแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เป็นต่นไป แม้ว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2557 กิจการจะมีรายได้ไม่ถึง 30 ล้านบาทอีกก็ตาม
2. กรณีที่บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยรอบระยะเวลาบัญชีปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้ 50 ล้านบาท แต่ครั้นรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้ 20 ล้านบาท และรอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 บริษัทฯ ก็มีรายได้ 20 ล้านบาท เช่นนี้ บริษัทฯ ยังคงสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของกิจการ SME ตามพรฎ. (ฉบับที่ 530) มาตรา 6 และมาตรา 7 ได้ เพราะเป็นกฎหมายคนละฉบับกับ พรฎ. (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551 ซึงในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2554 บริษัทฯ เคยมีรายได้เกิน 30 ล้านบาท ซึ่งเสียลิทธิตาม พรฎ. (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551 ครั้นในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ตัองเริ่มพิจารณาหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามพรฎ. (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 กันใหม่
วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559
ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์
อ้างอิง:- จดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพากร
พร้อมอ้างถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้เป็นหลักฐานประกอบ
เลขที่หนังสือ | : กค 0702/10436 | ||||||||||||||
วันที่ | : 21 ธันวาคม 2552 | ||||||||||||||
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ | ||||||||||||||
ข้อกฎหมาย | : พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 375) | ||||||||||||||
ข้อหารือ | บริษัทฯ แจ้งว่า บริษัทฯ ประกอบกิจการลงทุนถือหุ้นในบริษัทอื่นในลักษณะทรัพย์สิน ในการประกอบกิจการบริษัทฯ ได้กู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้เพื่อนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งมิได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะได้รับเงินปันผล หรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งการลงทุนดังกล่าวบริษัทฯ จะต้องชำระดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้น บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 375) พ.ศ. 2543 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 92) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2544 โดยเข้าใจว่า 1. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ได้รับหลักทรัพย์มา ถือว่าหลักทรัพย์นั้นไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ ให้ถือเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน 2. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่บริษัทฯ มีกรรมสิทธิ์ในหลักทรัพย์ดังกล่าวถือเป็นวันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพ พร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ บริษัทฯ จึงไม่ต้องนำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมดังกล่าวไปรวมคำนวณเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน แต่บริษัทฯ จะต้องนำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้อง ห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ขอทราบว่า ความเข้าใจของบริษัทฯ ข้างต้นถูกต้องหรือไม่ | ||||||||||||||
แนววินิจฉัย | กรณีบริษัทฯ ได้ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในบริษัทอื่นเพื่อหาผลประโยชน์ อันเข้าลักษณะเป็นทรัพย์สิน ราคาหุ้นที่บริษัทฯ ได้ซื้อมาดังกล่าวถือเป็นต้นทุนของทรัพย์สินนั้น ส่วนดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินเพื่อนำมาซื้อหุ้นดังกล่าว หากการซื้อหุ้นเป็นการดำเนินธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพหรือ เกี่ยวเนื่องโดยตรงต่อทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินดังกล่าวเกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้บริษัทฯ ปฏิบัติดังนี้ 1. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ ให้ถือเป็นต้นทุนของทรัพย์สิน หรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน 2. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี โดยบริษัทฯ จะต้องไม่ต้องนำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมดังกล่าวไปรวมคำนวณเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน หรือไม่หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 375) พ.ศ. 2543 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 92)ฯ ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2544 | ||||||||||||||
เลขตู้ | : 72/37068
![]() |
ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่ดิน และผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้เพื่อซื้อที่ดิน
อ้างอิง:- จดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพากร
พร้อมอ้างถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้เป็นหลักฐานประกอบ
พร้อมอ้างถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้เป็นหลักฐานประกอบ
เลขที่หนังสือ | : กค 0702/9196 |
วันที่ | : 5 พฤศจิกายน 2552 |
เรื่อง | :ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่ดิน และผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้เพื่อซื้อที่ดิน |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 65 ทวิ (5)(ก) และมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร |
ข้อหารือ |
1. บริษัทฯ จดทะเบียนนิติบุคคลเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2534 ประกอบกิจการซื้อขายที่ดินเพื่อค้ากำไร และให้เช่า โดยมิได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ
2. บริษัทฯ มีที่ดิน 48 แปลง เนื้อที่รวม 1,620 ไร่ ตั้งอยู่ จังหวัดนครราชสีมา บริษัทฯ บันทึกบัญชีเป็นทรัพย์สินทั้งหมด ดังนี้
(1) ที่ดินส่วนที่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้ จำนวน 27 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,048 ไร่ ไม่มีทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างใด ๆ หากมีผู้สนใจซื้อที่ดินดังกล่าว และให้ราคาตามที่บริษัทฯ ต้องการบริษัทฯ ก็จะขาย
(2) ที่ดินส่วนที่ก่อให้เกิดรายได้ จำนวน 21 แปลง เนื้อที่ประมาณ 572 ไร่ บริษัทฯ ได้แบ่งให้เช่า โดยมีการทำสัญญา ให้เช่า 1 ปี และต่อสัญญาทุกปี โดยผู้เช่าได้ปลูกสร้างอาคารโรงงานเพื่อผลิตแป้งมันสำปะหลัง โดยมิได้ระบุว่า กรรมสิทธิ์ในอาคาร เป็นของผู้ใด
3. บริษัทฯ กู้ยืมเงินในประเทศเพื่อซื้อที่ดินดังกล่าว ต่อมาได้กู้ยืมเงินจากต่างประเทศมาเพื่อชำระหนี้เงินกู้ในประเทศ ซึ่ง บริษัทฯ ได้นำดอกเบี้ยจ่ายมาปันส่วน โดยดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้เพื่อซื้อที่ดินส่วนที่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้มารวมคำนวณเป็น ต้นทุนที่ดิน สำหรับส่วนดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้เพื่อซื้อที่ดินส่วนที่ก่อให้เกิดรายได้นำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อ เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
4. ณ วันสิ้นปี งบการเงินของบริษัทฯ แสดงยอดเจ้าหนี้เงินกู้ยืมต่างประเทศ โดยไม่มีการปรับปรุงเป็นกำไรหรือขาดทุน จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
|
แนววินิจฉัย |
1. กรณีตาม 1 และ 2 บริษัทฯ กู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ในประเทศเพื่อซื้อที่ดิน ต่อมาบริษัทฯ กู้ยืมเงินจากต่างประเทศมาเพื่อ ชำระหนี้เงินกู้ในประเทศ แม้มิใช่กู้เงินจากต่างประเทศเพื่อซื้อที่ดินโดยตรง แต่เมื่อบริษัทฯ นำเงินกู้ในประเทศไปใช้ซื้อที่ดินเพื่อ ขายและให้เช่า หนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศจึงเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับหนี้เงินกู้ในประเทศ ถือเป็น รายจ่ายอันมีลักษณะอันเป็นการลงทุนตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น หากการซื้อที่ดินเป็นส่วนหนึ่งของ การดำเนินธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ หรือเกี่ยวเนื่องโดยตรงต่อทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินดังกล่าว เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้บริษัทฯ ปฏิบัติดังนี้
(1) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมใช้ ให้ถือเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือ รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน
(2) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมใช้ ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี โดยบริษัทฯ ต้องไม่นำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมดังกล่าวไปรวมคำนวณเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนหรือไปหัก เป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอีก ทั้งนี้ ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 375) พ.ศ. 2543 ประกอบกับข้อ 2 และข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 92)ฯ ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2544
2. กรณีตาม 3 บริษัทฯ มีหนี้สินซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณค่าหรือราคาของหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขาย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ ทั้งนี้ตามมาตรา 65 ทวิ (5) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศเป็นเงินตราไทย ตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
|
เลขตู้ | : 72/36968 |

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
นิติบุคคลที่จดทะเบียนในระหว่างปี 2558 จะไม่สามารถจดทะเบียนใช้สิทธิ์มาตราการบัญชีชุดเดียวได้
เนื่องจากตาม พระราชกําหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรพ.ศ. ๒๕๕๘
กำหนดคุณสมบัตินิติบุคคลดังกล่าวไว้ดังนี้
กำหนดคุณสมบัตินิติบุคคลดังกล่าวไว้ดังนี้
1.เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
2.มีรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชี 12 เดือนก่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ไม่เกิน 500 ล้านบาท
ทำให้นิติบุคคลที่จัดตั้งในระหว่างปี 2558 ไม่สามารถมีรอบระยะเวลาบัญชี 12 เดือนก่อนวันที่ 1 มกราคม 59 ได้จึงขาดคุณสมบัติตามข้อ 2 ครับ
คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติม พระราชกําหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรพ.ศ. ๒๕๕๘
โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมจากวิดีทัศน์ข้างล่าง ซึ่งจัดสัมมนาโดยฝ่ายกฎหมาย กรมสรรพากร ฟังชัดๆช่วงนาทีที่ 16.00 ท่านวิทยากรได้ยืนยันว่าไม่สามารถสมัครตามมาตราการนี้ได้ ครับ
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
วันที่ถือเป็นวันแจ้งเลิกกิจการ เนื่องจากถ้าเลยปีต้องจัดทำงบการเงิน 2 ปีแทนที่จะเป็นปีเดียว
วันที่ถือเป็นวันแจ้งเลิกกิจการ จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลทั่วไปอยู่ 2 หน่วยงาน
1.กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตามแผนภาพข้างล่าง ระบุว่ามีได้ 2 วัน คือวันที่ประชุมเลิก หรือวันที่ไปจดทะเบียนเลิกได้สำเร็จที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
1.กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตามแผนภาพข้างล่าง ระบุว่ามีได้ 2 วัน คือวันที่ประชุมเลิก หรือวันที่ไปจดทะเบียนเลิกได้สำเร็จที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
2 กรมสรรพากร อ้างถึงประมวลรัษฎากร ให้ใช้วันที่เจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนเลิกเป็นวันสุดท้าย นะครับ
มาตรา 72 ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกัน ให้ผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการมีหน้าที่ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานประเมินทราบการเลิกของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก ถ้าบุคคลดังกล่าวแล้วไม่ปฏิบัติตาม เจ้าพนักงานประเมินอาจสั่งให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย เงินนี้ให้ถือเป็นค่าภาษี
ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกันดังกล่าวแล้ว เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษี ให้ถือว่าวันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิกเป็นวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้ผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการมีหน้าที่และความรับผิดร่วมกันในการยื่นรายการและเสียภาษีตามแบบ และภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 68 และมาตรา 69 โดยอนุโลม
ถ้าผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการไม่สามารถยื่นรายการ และเสียภาษีภายในกำหนดเวลาตามความในวรรคก่อนได้ และได้ยื่นคำร้องต่ออธิบดีภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก เมื่ออธิบดีพิจารณาเห็นสมควรจะสั่งให้ขยายระยะเวลาออกไปอีกก็ได้ เฉพาะกรณีที่มีการชำระบัญชี อธิบดีจะสั่งให้ขยายรอบระยะเวลาบัญชีออกไปอีกด้วยก็ได้
ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกันโดยไม่มีการชำระบัญชี ให้ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่และความรับผิดเช่นเดียวกับผู้ชำระบัญชี ร่วมกับผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการตามที่บัญญัติไว้ในสามวรรคก่อน
ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกันดังกล่าวแล้ว เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษี ให้ถือว่าวันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิกเป็นวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้ผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการมีหน้าที่และความรับผิดร่วมกันในการยื่นรายการและเสียภาษีตามแบบ และภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 68 และมาตรา 69 โดยอนุโลม
ถ้าผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการไม่สามารถยื่นรายการ และเสียภาษีภายในกำหนดเวลาตามความในวรรคก่อนได้ และได้ยื่นคำร้องต่ออธิบดีภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก เมื่ออธิบดีพิจารณาเห็นสมควรจะสั่งให้ขยายระยะเวลาออกไปอีกก็ได้ เฉพาะกรณีที่มีการชำระบัญชี อธิบดีจะสั่งให้ขยายรอบระยะเวลาบัญชีออกไปอีกด้วยก็ได้
ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกันโดยไม่มีการชำระบัญชี ให้ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่และความรับผิดเช่นเดียวกับผู้ชำระบัญชี ร่วมกับผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการตามที่บัญญัติไว้ในสามวรรคก่อน
สรุป :- วันที่เลิกกิจการสำหรับนิติบุคคล ที่ได้ทั้ง 2 หน่วยงานคือ วันที่รับจดทะเบียนเลิกกิจการ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)