บริษัท เอส.เค.แอคเคาน์ติ้งอินฟอร์เมชั่น จำกัด โทร 02-575-3007-8 รับจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วน บริษัท บุุคคลธรรมดา พร้อมนำส่งงบการเงิน DBD E-filing รับวางระบบบัญชีด้วยโปรแกรมบัญชี Express ให้บริการยื่นแบบผ่านทางอินเตอร์เน็ต และสื่อคอมพิวเตอร์ รับวางแผนภาษี และเคลียภาษีสรรพากร ตรวจสอบ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI-Business) รับแก้ไขปัญหาคดีรับหมายเรียกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฐานความผิดไม่ยื่นงบการเงิน หรือส่งงบการเงินล่าช้า เกินกำหนดดังกล่าว โดยประหยัดและถูกต้อง
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม แสดงบทความทั้งหมด
วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559
นิติบุคคล ที่จดแจ้งบัญชีชุดเดียวกรมสรรพากร ไม่ยื่นแบบ ภงด 50 ปี 58 ภายใน 31 สค 59
สามารถอ่านข่าวประชาสัมพันธ์ได้โดยคลิกลิงก์ ข้างล่าง
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/news19_2559.pdf
โดยสรุปการเสียสิทธิ์บัญชีชุดเดียว คือ
1.สิทธิ์ยกเว้นการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังตั้งแต่ก่อนปี 58
คลิกอ่านเพิ่มเติม
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/01/sme.html
2,สิทธิ์ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล SME ปี 59 อัตรา 0 %
คลิกอ่านเพิ่มเติม
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/01/58.html
3.สิทธิ์การยื่นแบบเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเสียค่าปรับ ภพ 30 ภงด 1,2,3 และ 53 ภธ 40 อส 4ก สำหรับแบบ มค 58 ถึง มีค 59 ชำระภายใน 30 มิย 59
คลิกอ่านเพิ่มเติม
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/03/58-59.html
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559
คู่มือภาษีอากรสำหรับกิจการร้านทองเฉพาะกรณีโอนกิจการทั้งหมดจากบุคคลธรรมดาเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
คู่มือภาษีอากรสำหรับกิจการร้านทองเฉพาะกรณีโอนกิจการทั้งหมดจากบุคคลธรรมดาเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพื่อให้การจัดทำบัญชีและการเสียภาษีอากรเป็นไปอย่างมีระบบ ถูกต้องครบถ้วน และเป็นมาตรฐานเดียวกันในกลุ่มธุรกิจ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/thong200659.pdf
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/thong200659.pdf
วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
การนำค่าโฆษณา google adword มาลงเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท
ลงโฆษณา google จ่ายค่าโฆษณา ไปที่ ireland ถือเป็นเงินได้ 40 (8) ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
แต่ใช้ในประเทศไทยต้องจ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่าน ภพ 36 อ่านรายละเอียด ตามเอกสารประกอบ
อ้างอิงการตอบจากจดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพกร เลขที่ กค 0706/10491
เรื่อง : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายเงินไปต่างประเทศ
ข้อกฎหมาย: มาตรา 77/2 มาตรา 85/6(2) มาตรา 41 มาตรา 80/1(2) มาตรา 70 มาตรา 80 มาตรา 40(8) มาตรา 40(2) และมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร
1.บริษัท ด. ประกอบกิจการเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เมื่อลูกค้าของบริษัทฯ ได้ว่าจ้างบริษัทฯ ทำกราฟฟิกดีไซน์ พัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์ทำการตกลงเกี่ยวกับการบริการและขอบเขตการดำเนินงานตลอดจนราคาแล้ว บริษัทฯจะติดต่อผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศอินเดียให้ดำเนินการอีกทอดหนึ่งหลังจากที่ผู้รับจ้างทำงานเสร็จและส่งมอบงานแล้ว บริษัทฯจะส่งมอบงานให้ลูกค้าและเรียกเก็บเงินต่อไปโดยผู้รับจ้างไม่มีลิขสิทธิ์ในงานที่ทำจึงขอทราบว่า
1.1การจ่ายเงินค่าจ้างให้กับผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศอินเดียนั้นจะต้องหักภาษีณ ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
1.2กรณีบริษัทฯส่งงานดังกล่าวให้กับลูกค้าในต่างประเทศโดยลูกค้าจะได้รับลิขสิทธิ์เต็มตลอดจนซอร์สโคด (Source Code) ในโปรแกรมดังกล่าวค่าบริการที่บริษัทฯ ได้รับจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
2. การชำระค่าโฆษณาและการรับชำระค่าโฆษณากรณีลูกค้าอยู่ประเทศไอร์แลนด์
2.1ในทุก ๆ เดือน บริษัทฯ จะชำระค่าโฆษณาในSearch engine ให้กับบริษัท G. ในประเทศไอร์แลนด์บริษัทฯ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
2.2บริษัทฯ ได้ให้ G. ใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯ ในการโฆษณา จะต้องหักภาษี ณที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
3. บริษัทฯ ได้ซื้อ License Keys และ Support Contracts จากบริษัท ล. โดยบริษัทฯ จะไม่ได้รับลิขสิทธิ์ในโปรแกรมนี้ นอกจากการมีสิทธิในการขายให้กับลูกค้าเท่านั้น กรณีของSupportContracts นั้นในปีแรกไม่มีค่าบริการ ในปีถัดไปหากลูกค้าไม่ซื้อ Support Contracts ลูกค้าจะไม่ได้รับบริการใด ๆ เช่นไม่มีสิทธิในการอัพเกรดโปรแกรม แต่ลูกค้ายังคงใช้โปรแกรมเก่าที่มีอยู่ต่อไปได้การจ่ายค่า License Keys ให้กับบริษัทล. จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ส่วนค่าบริการ SupportContracts นั้น บริษัท ล. ตกลงให้บริษัทฯหักภาษี ณ ที่จ่ายจากใบแจ้งหนี้ก่อนที่บริษัทฯ จะชำระเงินจึงขอทราบอัตราการหักภาษี ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มตลอดจนวิธีคำนวณภาษี
ขอตัดมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง
2.กรณีตาม 2. การชำระค่าโฆษณาและรับชำระค่าโฆษณา มีภาระภาษีหักณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้
2.1กรณีตามข้อ 2.1 บริษัทฯ จ่ายค่าโฆษณาใน Searchengine ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตให้กับG. ในประเทศไอร์แลนด์เป็นกรณีที่ G. ลงโฆษณาให้กับบริษัทฯใน Search engine ซึ่งเป็นการให้บริการในต่างประเทศค่าตอบแทนกรณีการให้บริการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(8) แห่งประมวลรัษฎากรบริษัทฯไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใดไม่ว่าผู้ให้บริการในต่างประเทศจะอยู่ในประเทศที่มีข้อตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่และหากการลงโฆษณาดังกล่าวบริษัทฯได้นำผลจากการโฆษณามาใช้ย่อมเข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ให้บริการมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ7.0 ทั้งนี้ ตามมาตรา77/2 และมาตรา 83/6(2)แห่งประมวลรัษฎากร
2.2กรณีตามข้อ 2.2 กรณีบริษัทฯ ให้ G. ใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯเพื่อโฆษณาตามข้อเท็จจริงเข้าลักษณะเป็นการให้บริการอันถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(8) แห่งประมวลรัษฎากรบริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใดและกรณีการใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯ เพื่อโฆษณาซึ่งลูกค้าในประเทศไทยอาจใช้บริการเปิดข้อมูลเว็บไซต์จากการโฆษณานั้นได้จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศและได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมดแต่ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105)ฯ ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543
ต้องการดูจดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพากรฉบับเต็ม คลิกลิงก์ได้เลย ครับ
วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559
ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ที่ไม่ใช่ชื่อกิจการจะนำมาบันทึกค่าใช้จ่ายได้อย่างไร
เงื่อนไขเพิ่มเติม
รายจ่ายที่เกี่ยวข้อง กรณีเช่าสถานประกอบการซึ่ง เป็นที่อยู่อาศัยของกรรมการด้วย หรือกรณีใช้ทรัพย์สินร่วมกัน กับกิจการหรือบุคคลอื่น กรณีต้องการนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีมาถือเป็นภาษีซื้อของกิจการ
หมายเหตุ - ให้เฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายของ กิจการได้ตามเกณฑ์ที่เหมาะสม
กรณีลงภาษีซื้อหักจากภาษีขาย
หลักฐานที่ควรมีประกอบ
1) สัญญาเช่าอาคาร ซึ่งระบุ ให้ผู้เช่าเป็นผู้ชำระค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา
2) ควรติดต่อกับการไฟฟ้าฯ หรือการประปาฯ เพื่อขอ เพิ่มชื่อของบริษัทฯ ลงใน ใบก ากับภาษี โดยเพิ่มเติม ข้อความว่า "จ่ายชำระ ค่าบริการโดย บริษัท..." ลงไปด้วย บริษัทฯ มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบก ากับภาษี ดังกล่าว ไปถือเป็นภาษีซื้อใน การค านวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 ได้ (หนังสือที่กค 0702/พ./1319 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552)

กรณีลงภาษีซื้อเป็นค่าใช้จ่ายบวกกลับ
- สัญญาเช่า หมายเหตุ - ให้เฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายของ กิจการได้ตามเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ถ้าใบกำกับภาษีซื้อไม่ได้ เป็นชื่อของผู้เช่า ภาษีซื้อขอคืน ไม่ได้ หมายเหตุใบกำกับภาษีที่มิได้ระบุชื่อ ผู้ประกอบการนั้น ผู้ประกอบการไม่มี สิทธินำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็น ภาษีซื้อเพื่อหักจากภาษีขายในการ คำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 เนื่องจากใบก ากับภาษีดังกล่าวถือเป็น ภาษีซื้อต้องห้าม ตามมาตรา 82/5 (1) แต่ผู้ประกอบการมีสิทธินำค่าน้ำ ค่าไฟ ดังกล่าวมาเป็นค่าใช้จ่ายในการ คำนวณภาษีเงินได้ได้เนื่องจากเป็น ค่าใช้จ่ายเพื่อการหากำไรหรือเพื่อ กิจการโดยเฉพาะ ไม่ต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี แต่สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี ดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม บริษัทฯ ไม่มีสิทธิน ามาเป็นรายจ่ายใน การคำนวณหากำไรสุทธิได้ ตามมาตรา 65 ตรี(6 ทวิ) ทั้งนี้ตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการ ก าหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้ พึงประเมิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 (หนังสือที่ กค 0811(กม)/พ.277 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2542)
รายจ่ายที่เกี่ยวข้อง กรณีเช่าสถานประกอบการซึ่ง เป็นที่อยู่อาศัยของกรรมการด้วย หรือกรณีใช้ทรัพย์สินร่วมกัน กับกิจการหรือบุคคลอื่น กรณีต้องการนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีมาถือเป็นภาษีซื้อของกิจการ
หมายเหตุ - ให้เฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายของ กิจการได้ตามเกณฑ์ที่เหมาะสม
กรณีลงภาษีซื้อหักจากภาษีขาย
หลักฐานที่ควรมีประกอบ
1) สัญญาเช่าอาคาร ซึ่งระบุ ให้ผู้เช่าเป็นผู้ชำระค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา
2) ควรติดต่อกับการไฟฟ้าฯ หรือการประปาฯ เพื่อขอ เพิ่มชื่อของบริษัทฯ ลงใน ใบก ากับภาษี โดยเพิ่มเติม ข้อความว่า "จ่ายชำระ ค่าบริการโดย บริษัท..." ลงไปด้วย บริษัทฯ มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบก ากับภาษี ดังกล่าว ไปถือเป็นภาษีซื้อใน การค านวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 ได้ (หนังสือที่กค 0702/พ./1319 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552)
เลขที่หนังสือ | : กค 0702/พ./1319 |
วันที่ | : 19 กุมภาพันธ์ 2552 |
เรื่อง | : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้า |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 77/1(20) มาตรา 82/5(1) และมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร |
ข้อหารือ | บริษัท B (บริษัทฯ) ประกอบกิจการรับจ้างดำเนินการเกี่ยวกับระบบการผลิตน้ำประปาให้แก่บริษัท P ณ โรงผลิต น้ำประปา ของ P แล้วสูบเพื่อส่งน้ำประปาไปยังสถานีจ่ายน้ำ ซึ่งทำหน้าที่จ่ายน้ำประปาให้แก่ผู้บริโภค โดยมีระยะการผลิต ถึงปี พ.ศ. 2566 ในการดำเนินงานดังกล่าว บริษัทฯ ต้องเข้าไปดำเนินงานในสถานประกอบการของ P ได้แก่ สถานีจ่ายน้ำ สถานีเพิ่มแรงดัน และโรงกรองน้ำ โดยในสัญญาว่าจ้างกำหนดให้บริษัทฯ เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าเอง แต่ใบกำกับ ภาษีค่าไฟฟ้าระบุชื่อ ที่อยู่ของ P ซึ่งเป็นเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้า บริษัทฯ จึงมีความประสงค์จะขอจดเพิ่มสาขาตามสถานที่มิเตอร์ ไฟฟ้าติดตั้งอยู่ เพื่อบริษัทฯ จะนำใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้ามาใช้ได้อย่างถูกต้อง บริษัทฯ จึงขอหารือ ดังนี้ 1. บริษัทฯ สามารถขอจดเพิ่มสาขาตามสถานที่ที่ได้ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าได้หรือไม่ 2. หากดำเนินการตาม 1. ไม่ได้ บริษัทฯ จะขอเพิ่มชื่อบริษัทฯ ในใบกำกับภาษีของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (การไฟฟ้าฯ) แต่ที่อยู่ยังคงเป็นที่อยู่ตามสถานที่ตั้งของมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อที่บริษัทฯ สามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาใช้ได้หรือไม่ |
แนววินิจฉัย | 1. กรณีตาม 1. เนื่องจากบริษัทฯ ใช้สถานประกอบการของผู้ว่าจ้างเพื่อให้บริการตามสัญญาที่บริษัทฯ มีต่อผู้ว่าจ้างเท่านั้น บริษัทฯ มิได้ใช้สถานที่ดังกล่าวเพื่อประกอบกิจการของตนเองเป็นการทั่วไป ดังนั้น สถานีจ่ายน้ำ สถานีเพิ่มแรงดันและโรงกรองน้ำ ที่ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า จึงไม่ใช่สถานประกอบการของบริษัทฯ ตามมาตรา 77/1 (20) แห่งประมวลรัษฎากร และบริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ ต้องแจ้งเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/7 แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีตาม 2. หากบริษัทฯ เป็นผู้จ่ายค่าไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฯ เองโดยตรงแต่ใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้าระบุชื่อ ที่อยู่ของ P บริษัทฯ ไม่มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าว มาถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 และ มาตรา 82/5(1) แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ดี หากบริษัทฯ ติดต่อกับการไฟฟ้าฯ เพื่อขอเพิ่มชื่อของบริษัทฯ ลงในใบกำกับภาษี โดยเพิ่มเติม ข้อความว่า "จ่ายชำระค่าบริการโดย บริษัท B" ลงไปด้วย บริษัทฯ มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าว ไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรได้ |
เลขตู้ | : 72/36421 |

กรณีลงภาษีซื้อเป็นค่าใช้จ่ายบวกกลับ
- สัญญาเช่า หมายเหตุ - ให้เฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายของ กิจการได้ตามเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ถ้าใบกำกับภาษีซื้อไม่ได้ เป็นชื่อของผู้เช่า ภาษีซื้อขอคืน ไม่ได้ หมายเหตุใบกำกับภาษีที่มิได้ระบุชื่อ ผู้ประกอบการนั้น ผู้ประกอบการไม่มี สิทธินำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็น ภาษีซื้อเพื่อหักจากภาษีขายในการ คำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 เนื่องจากใบก ากับภาษีดังกล่าวถือเป็น ภาษีซื้อต้องห้าม ตามมาตรา 82/5 (1) แต่ผู้ประกอบการมีสิทธินำค่าน้ำ ค่าไฟ ดังกล่าวมาเป็นค่าใช้จ่ายในการ คำนวณภาษีเงินได้ได้เนื่องจากเป็น ค่าใช้จ่ายเพื่อการหากำไรหรือเพื่อ กิจการโดยเฉพาะ ไม่ต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี แต่สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี ดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม บริษัทฯ ไม่มีสิทธิน ามาเป็นรายจ่ายใน การคำนวณหากำไรสุทธิได้ ตามมาตรา 65 ตรี(6 ทวิ) ทั้งนี้ตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการ ก าหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้ พึงประเมิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 (หนังสือที่ กค 0811(กม)/พ.277 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2542)
เลขที่หนังสือ | : กค 0811(กม)/พ.277 |
วันที่ | : 23 กุมภาพันธ์ 2542 |
เรื่อง | : ภาษีมูลค่าเพิ่ม แนวทางปฏิบัติในการออกใบกำกับภาษีสำหรับกิจการรายย่อย |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 65 ตรี, มาตรา 82/3, มาตรา 82/5, มาตรา 86/4, มาตรา 86/6, มาตรา 87, พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502, ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2534 ฯ และ (ฉบับที่ 32) พ.ศ. 2535 ฯ |
ข้อหารือ | : 1. การดำเนินกิจการขายอาหารหรือขายสินค้าเบ็ดเตล็ด และได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 10.0 ไม่เคยมีรายรับเดือนใดถึง 100,000 บาท และขายสินค้าแต่ละครั้งไม่เกิน 500 บาท จะออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ โดยรวมมูลค่าการขายสินค้าวันละ 1 ฉบับได้หรือไม่ 2. สถานที่ตั้งของกิจการไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้ประกอบการ ฉะนั้น ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าในการประกอบกิจการที่เป็นชื่อของเจ้าของสถานที่ ผู้ประกอบการมีสิทธินำใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีจากค่าใช้จ่ายดังกล่าว มาเป็นภาษีซื้อ เพื่อหักภาษีขายได้หรือไม่ และนำมาเป็นค่าใช้จ่าย ปลายปีได้หรือไม่ 3. หากผู้ประกอบการไปจดทะเบียนเป็นบริษัทฯ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ซึ่งเกิดจากการประกอบกิจการ แต่เป็นชื่อของบุคคลธรรมดา ที่อยู่ตรงกับที่อยู่ของบริษัทฯ ที่ได้ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ จะนำใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็นภาษีซื้อ และค่าใช้จ่าย ของบริษัทได้หรือไม่เนื่องจากชื่อไม่ตรงกับบริษัทฯ ผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4. กรณีตาม 3. จะนำใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็นภาษีซื้อไม่ได้ ต้องห้าม ตามมาตรา 82/5 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่บริษัทฯ มีสิทธินำค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ดังกล่าว มาเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ได้ สำหรับภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวมีลักษณะเป็น ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระหรือพึงชำระ จึงต้องห้ามไม่ให้ถือเอาภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวมาเป็นรายจ่าย ใน การคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร |
แนววินิจฉัย | : 1. กรณีตาม 1. หากผู้ประกอบการจดทะเบียนตามข้อเท็จจริงเป็นผู้ขายที่ทราบโดยชัดแจ้ง ว่า เป็นการขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง และได้ขายในปริมาณ ซึ่งตามปกติวิสัยของผู้บริโภคนั้น จะนำ สินค้าไปบริโภคหรือใช้สอยโดยมิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปขายต่อ หรือเป็นการให้บริการในลักษณะ บริการรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก เข้าลักษณะเป็นกิจการค้าปลีกตามมาตรา 86/6 แห่ง ประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 32)ฯ ลงวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2535 ผู้ประกอบการดังกล่าว มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อตามมาตรา 86/6 แห่ง ประมวลรัษฎากรได้ เว้นแต่ผู้ซื้อเรียกร้องให้ออกใบกำกับภาษีที่มีรายการครบถ้วน ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร และหากการขายสินค้าหรือบริการรายย่อยดังกล่าว ได้ขายสินค้าหรือบริการ โดย ไม่เคยมีมูลค่าของฐานภาษีในเดือนใดถึง 100,000 บาท ผู้ประกอบการไม่จำต้องออกใบกำกับภาษี สำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการที่มีมูลค่าครั้งหนึ่งไม่เกิน 500 บาท เว้นแต่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับ บริการจะเรียกร้อง โดยให้ผู้ประกอบการจัดทำใบกำกับภาษีรวบรวมการขายสินค้าหรือการให้บริการที่ มูลค่าครั้งหนึ่งไม่เกิน 500 บาท ในหนึ่งวันทำการ เพื่อเป็นเอกสารประกอบการลงรายงานภาษีขาย ตามมาตรา 87 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามมาตรา 86/8 แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 7)ฯ ลงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2534 โดยใบกำกับภาษีดังกล่าว สามารถจัดทำเป็นใบกำกับภาษีอย่างย่อ ตามมาตรา 86/6 แห่ง ประมวลรัษฎากรได้ 2. กรณีตาม 2. ใบกำกับภาษีที่มิได้ระบุชื่อผู้ประกอบการนั้น ผู้ประกอบการ ไม่มีสิทธินำ ใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็นภาษีซื้อเพื่อหักจากภาษีขายในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 แห่ง ประมวลรัษฎากรเนื่องจากใบกำกับภาษีดังกล่าวถือเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ตามมาตรา 82/5 (1) แห่ง ประมวลรัษฎากร แต่ผู้ประกอบการมีสิทธินำค่าน้ำ ค่าไฟ ดังกล่าวมาเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาได้เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ไม่ต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร แต่สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีดังกล่าวถือเป็น รายจ่ายต้องห้าม บริษัทฯ ไม่มีสิทธินำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณหากำไรสุทธิได้ ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการกำหนด ค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 |
เลขตู้ | : 62/27581 |
คลิกลิงก์อ่านทั้งฉบับได้ข้างล่าง
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559
สรุป พรก.นิรโทษกรรมภาษีและยกเว้นภาษี SME พร้อมคำชี้แจงตัวอย่างจากกรมสรรพากร
สรุป:- มาตรการบัญชีเล่มเดียวและการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SMEs
หลักการหรือสาเหตุที่ออกกฎหมายดังกล่าว
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/sme/1std_040159.pdf
พระราชกำหนดที่ยกเว้นการตรวจสอบภาษีย้อนหลังก่อนปี 2558
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/sme/2law1_040159.pdf
พระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีให้กับ SME
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/sme/3law2_040159.pdf
คำชี้แจงจากกรมสรรพากร พร้อมตัวอย่างประกอบ
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/sme/4exp_040159.pdf
สรุปคำชี้แจงประกอบให้ดูเข้าใจโดยง่าย
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/sme/5con_050159.pdf
ความเห็นโดยส่วนตัว
ถ้าผู้ประกอบการ SME มั่นใจว่า ในปี 2559 จะจัดทำบัญชีชุดเดียว หรือทำอยู่แล้วก็สมัครได้เลย ครับ เพราะมีแต่ได้ไม่มีเสีย
กำหนดเปิดให้สมัครเริ่ม 15 มค 59 ถึง 15 มีค 59 ปิดรับการใช้สิทธิ์
ที่มา Fanpage :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์
ข้อมูลเพิ่มเติม ท่านอ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับสำนักงานบัญชี เป็นการนำมาเผยแพร่เพื่อประโยชน์แก่ผู้เสียภาษีให้ถูกต้องเท่านั้น ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มา ณที่นี้ด้วย ครับ
คุณ Nok OK (12 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 22:02 น.)
ปุจฉา: ตามพระราชกฤฎีกาฯ "ม. 6 (1) ไม่มีทุนที่ชำระแล้วรอบบัญชีใดเกิน 5 ล้านและไม่มีรายได้รอบใดเกิน 30 ล้านบาท" หมายถึงจากปี2558 ขึ้นไป (คือปี 2559 เกิน 30 ล้านก็ถูกถอนสิทธิ) ไหมคะ? และ ตั้งแต่ปี 2558 ลงไปกี่ปีคะที่รายได้ไม่เกิน 30 ล้าน เพราะเปิดมา 25 ปี ต้องกลับไปดูย้อนหลังกี่ปีคะ?
สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วิสัชนา:
ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 บัญญัติว่า
"มาตรา 8 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 6 และการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 7 ต้องไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและต้องไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป"
ดังนั้น หากตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นไป กิจการ SMEs ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อ กิจการนั้น ย่อมไม่ได้สิทธิเป็น SMEs ที่จะลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีนั้นเป็นต้นไป และไม่อาจกล้บคืนมาได้สิทธิดังเช่นพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับก่อนๆ อีกต่อไป
ตามมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2558 บัญญัติว่า
"มาตรา 6 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 และมาตรา 5 ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) ไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท
(2) ได้จดแจ้งเป็นผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
(3) ไม่ถูกเพิกถอนการได้รับยกเว้นตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร"
วิสัชนา:
ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 บัญญัติว่า
"มาตรา 8 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 6 และการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 7 ต้องไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและต้องไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป"
ดังนั้น หากตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นไป กิจการ SMEs ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อ กิจการนั้น ย่อมไม่ได้สิทธิเป็น SMEs ที่จะลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีนั้นเป็นต้นไป และไม่อาจกล้บคืนมาได้สิทธิดังเช่นพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับก่อนๆ อีกต่อไป
ตามมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2558 บัญญัติว่า
"มาตรา 6 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 และมาตรา 5 ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) ไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท
(2) ได้จดแจ้งเป็นผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
(3) ไม่ถูกเพิกถอนการได้รับยกเว้นตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร"
ดังนั้น การพิจารณาเงื่อนไขตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 ไม่อาจพิจารณาเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีดังเช่นที่เคยเป็นตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551 ได้อีกแล้ว เนื่องจากได้มีการกำหนดเงื่อนไขใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม โดยให้พิจารณาว่า ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นมาเท่านั้น ไม่ต้องย้อนกลับไปถึง 25 ปีดอกครับ หากตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 เป็นต้นมาจนถึงรอบระยะเวลาบัญชีปี 2560 กิจการ SMEs มีรอบระยะเวลาบัญชีปีใดไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 530) กล่าวคือ มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาท และหรือ่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท ก็ย่อมเสียสิทธิตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป ไม่อาจจะกลับมาใช้สิทธิตามตามมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2558 ได้อีกเลย
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559
สรุป พรก.นิรโทษกรรมตรวจภาษีย้อนหลัง 2558
สรุปพระราชกําหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรพ.ศ.
๒๕๕๘
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ
ยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร
และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร (ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ
อากรแสตมป์ )สําหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันเริ่มต้นก่อนวันที่
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙ หรือมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทําตราสารที่เกิดขึ้นก่อนวันที่
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ
1.เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
2.มีรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชี 12 เดือนก่อนหรือในวันที่
31 ธันวาคม 2558 ไม่เกิน 500
ล้านบาท
เงื่อนไขที่ไม่สามารถใช้สิทธิ์ตามประกาศได้
1.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอยู่ระหว่างการตรวจสอบภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร โดยมีหมายเรียกที่ออกก่อนวันที่พระราชกําหนดนี้ใช้บังคับ
2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าพนักงานประเมินตามมาตรา
๘๘/๓ แห่งประมวลรัษฎากร ที่ดําเนินการก่อนวันที่พระราชกําหนดนี้ใช้บังคับ
3.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นผู้ออกใบกํากับภาษีปลอมหรือเป็นผู้ใช้ใบกํากับภาษีปลอม หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกระทําการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร
โดยแสดงรายจ่ายอันเป็นเท็จต่อกรมสรรพากร
4.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอยู่ในระหว่างการดําเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวนชั้นพนักงานอัยการ
หรือชั้นศาล
การได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่ง
จะต้องปรากฏด้วยว่า เจ้าพนักงานประเมินยังไม่ได้เริ่มดําเนินการประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร
หรือยังไม่ได้ดําเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับภาษีอากรนั้น ๆ
ข้อพึงปฎิบัติเมื่อประสงค์จะใช้สิทธิ์ ตามพรก.ฉบับนี้
1.ทําการจดแจ้งต่อกรมสรรพากร
ว่าเป็นผู้ได้รับยกเว้นตามพระราชกําหนดนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข และภายในเวลาที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกําหนด
2.ยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามข้างล่างหลังวันที่
1 มกราคม
2559 ของบริษัท
หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเงิน พร้อมชำระภาษี ตามแต่กรณีที่มี
2.1 แบบภาษีเงินได้
เช่น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภงด 1
2 3 และ 53) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภงด 50 และ
51)
2.2 แบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีธุรกิจเฉพาะ แล้วแต่กรณี
2.3 ยื่นแบบการเสียภาษีอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน
แล้วแต่กรณี
3. มีการจัดทําบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
4.ไม่กระทําการใด ๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากร
นับแต่วันที่พระราชกําหนดนี้ใช้บังคับพ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
กรมสรรพากรสงวนสิทธิ์ในการเพิกถอนสิทธิ์ที่ให้กรณีดังนี้
1.ไม่ปฎิบัติตามข้อพึงปฎิบัติ ข้างต้น
2.หลังจากเพิกถอนสิทธิ์ กรมสรรพากรสามารถเข้าตรวจสอบภาษีย้อนหลังได้ตามปรกติ
1.นิติบุคคลที่ ประสงค์จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
2.นิติบุคคลที่มีเจตนาจะเสียภาษีให้ถูกต้องหลังจากนี้ 1 มกราคม
2559 เป็นต้นไป
กรณีต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ควรอ่านประกาศฉบับเต็ม และประกาศเพิ่มเติมของอธิบดีกรมสรรพากร
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ภาระภาษีกรณีขนส่งสินค้า VS การให้บริการส่งสินค้าเพื่อมุ่งความสำเร็จของงาน
สรุปความเห็นส่วนตัวจากจดหมายตอบข้อหารือ:-
1.สัญญาขนส่งสินค้า คือการดำเนินการขนส่งสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งโดยไม่มีการให้บริการใดเพิ่มเติม ถือเป็นการให้บริการขนส่ง ตามมาตรา ๖๐๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ภาระภาษี
อากรแสตมป์ ----> สัญญาขนส่งไม่ต้องติดอากรแสตมป์
ภาษีมูลค่าเพิ่ม----> ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย ----> ร้อยละ 1จากรายรับ
2.สัญญาจ้างทำของ คือ การกระทำที่มุ่งถึงผลสำเร็จของงานมากกว่าการให้บริการขนส่ง เข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ภาระภาษี
อากรแสตมป์ ----> สัญญาจ้างทำของ ตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ ผู้รับจ้างมีหน้าที่ต้องเสียอากรแสตมป์
ภาษีมูลค่าเพิ่ม----> ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย ----> ร้อยละ 3 จากรายรับ
1.สัญญาขนส่งสินค้า คือการดำเนินการขนส่งสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งโดยไม่มีการให้บริการใดเพิ่มเติม ถือเป็นการให้บริการขนส่ง ตามมาตรา ๖๐๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ภาระภาษี
อากรแสตมป์ ----> สัญญาขนส่งไม่ต้องติดอากรแสตมป์
ภาษีมูลค่าเพิ่ม----> ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย ----> ร้อยละ 1จากรายรับ
2.สัญญาจ้างทำของ คือ การกระทำที่มุ่งถึงผลสำเร็จของงานมากกว่าการให้บริการขนส่ง เข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ภาระภาษี
อากรแสตมป์ ----> สัญญาจ้างทำของ ตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ ผู้รับจ้างมีหน้าที่ต้องเสียอากรแสตมป์
ภาษีมูลค่าเพิ่ม----> ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย ----> ร้อยละ 3 จากรายรับ
เลขที่หนังสือ | : 0702/6433 | ||||||||||||||||
วันที่ | : 9 กรกฎาคม 2558 | ||||||||||||||||
เรื่อง | : อากรแสตมป์ กรณีสัญญาขนส่งสินค้า | ||||||||||||||||
ข้อกฎหมาย | : ลักษณะแห่งตราสาร ๔. และ 6 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ | ||||||||||||||||
ข้อหารือ | บริษัท ก. จำกัด หารือปัญหาอากรแสตมป์ กรณีสัญญาขนส่งสินค้า ดังนี้ ๑.หากเป็นสัญญาขนส่งสินค้า โดยผู้รับจ้างขนส่งสินค้าของผู้ว่าจ้างจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง สัญญาต้องเสียอากรแสตมป์หรือไม่ อย่างไร ๒.หากเป็นสัญญาขนส่งสินค้า โดยผู้รับจ้างต้องมีรถยกเพื่อขนสินค้าของผู้ว่าจ้างจากคลังสินค้าเรียงขึ้นรถบรรทุก รวมถึงผู้รับจ้างจัดให้มีกรรมกรประจำรถอย่างน้อย ๑ คน เพื่อขนสินค้าลงเรียงกองเก็บ ณ หน่วยงานลูกค้าของผู้ว่าจ้าง และ/หรือหน่วยรับสินค้าปลายทางตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้ กรณีขนขึ้นอาคารให้ขนขึ้นได้ถึงชั้นที่ ๒ หากเกินนั้นให้ผู้รับจ้างแจ้งให้ผู้ว่าจ้างทราบเพื่อตกลงค่าจ้างเป็นครั้งคราวโดยไม่ชักช้า สัญญานี้ต้องเสียอากรแสตมป์หรือไม่ อย่างไร | ||||||||||||||||
แนววินิจฉัย | ๑.กรณีตาม ๑. หากเป็นสัญญาขนส่งสินค้า ซึ่งมีการดำเนินการขนส่งสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งโดยไม่มีการให้บริการใดเพิ่มเติม ถือเป็นการให้บริการขนส่ง ตามมาตรา ๖๐๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้รับจ้างขนส่งจึงไม่มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์ ตามลักษณะแห่งตราสาร ๔. แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ แต่อย่างไรก็ดี กรณีผู้รับจ้างขนส่งมีการออกใบรับของซึ่งออกให้เนื่องจากกิจการรับขนสินค้าและลงลายมือชื่อพนักงานหรือนายสินค้าของยานพาหนะรับขนส่ง ซึ่งออกรับของดังระบุไว้ในใบรับนั้นเมื่อไม่ได้ออกบิลออฟเลดิง ผู้ออกใบรับของดังกล่าวจะต้องเสียอากรแสตมป์ฉบับละ ๑ บาท ามลักษณะแห่งตราสาร ๑๖. ใบรับของ แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ๒.กรณีตาม ๒. หากเป็นสัญญาขนส่งสินค้า โดยผู้รับจ้างต้องมีรถยกเพื่อขนสินค้าของผู้ว่าจ้างจากคลังสินค้าเรียงขึ้นรถบรรทุก รวมถึงผู้รับจ้างจัดให้มีกรรมกรประจำรถอย่างน้อย ๑ คน เพื่อขนสินค้าลงเรียงกองเก็บ ณ หน่วยงานลูกค้าของผู้ว่าจ้าง และ/หรือหน่วยรับสินค้าปลายทาง หากเป็นบริการที่มุ่งผลสำเร็จของงาน เข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของ ตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้รับจ้างมีหน้าที่ต้องเสียอากรแสตมป์ ๑ บาท ทุกจำนวนเงิน ๑,๐๐๐ บาท หรือเศษของ ๑,๐๐๐ บาท แห่งสินจ้างที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างทำของ ทั้งนี้ ตามลักษณะแห่งตราสาร ๔. จ้างทำของ แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ | ||||||||||||||||
เลขตู้ |
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ภาระภาษีเงินประกันและเงินมัดจำ สำหรับกิจการรับเหมาก่อสร้าง รับจ้างผลิดเครื่องจักร
กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการให้บริการเช่าทรัพย์สินที่ได้มีการเรียกเก็บเงินประกันเงินมัดจำ หรือเงินจอง หรือเงินอื่นที่เรียกเก็บในลักษณะทำนองเดียวกัน ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.73/2541 เรื่องการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการเรียกเก็บเงินจ่ายล่วงหน้า เงินประกัน เงินมัดจำ หรือเงินจอง ลงวันที่ 30 มิถุนายน2541 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ลงในคำสั่งดังกล่าวเป็นต้นไปและให้เป็นอันยกเลิก บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง แนวทางปฏิบัติ หรือคำวินิจฉัยใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งฉบับดังกล่าว แนวทางปฏิบัติดังกล่าวมีผลกระทบต่อ การรับรู้รายได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการให้บริการเช่าทรัพย์สินที่ได้มีการเรียกเก็บเงินประกัน เงินมัดจำ หรือเงินจอง หรือเงินอื่นที่เรียกเก็บในลักษณะทำนองเดียวกัน
อย่างไรก็ตามต่อมากรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.155/2549 ลงวันที่12 กันยายน2549 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.1/2528 โดยให้มีผลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มหรือหลังวันที่1 มกราคม2550 เป็นต้นไปเป็นผลให้แนวปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.73/2541 ในส่วนที่เป็นเงินประกันหรือเงินมัดจำสำหรับกิจการให้เช่าทรัพย์สินหรือกิจการให้บริการถูกยกเลิกไปโดยปริยาย แต่ยังคงต้องพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติตามเงื่อนไขในคำสั่งที่ ป.73/2541 อยู่ต่อไปจึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา - วิสัชนาดังนี้
ปุจฉามีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเงินประกัน หรือเงินมัดจำสำหรับกิจการรับเหมาก่อสร้างอย่างไร
วิสัชนาคำสั่งกรมสรรพากรที่ป.73/2541 ไม่มีผลกระทบต่อกรณีการให้บริการรับเหมาก่อสร้างแต่อย่างใดเนื่องจากการประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการรับรู้รายได้เป็นการชัดเจนตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.1/2528แล้วดังนั้นกรณีการให้บริการรับเหมาก่อสร้างที่ได้มีการเก็บเงินจ่ายล่วงหน้าจากผู้ว่าจ้าง โดยมีข้อตกลงต้องคืนเงินดังกล่าวให้ผู้ว่าจ้าง โดยยอมให้ผู้ว่าจ้างหักเงินดังกล่าวออกจากเงินค่างานที่ผู้รับจ้างจะได้รับในแต่ละงวด เพื่อชดเชยกับเงินจ่ายล่วงหน้าที่รับไปจนกว่าจะครบถ้วน พร้อมทั้งหักเงินค่าประกันผลงาน ให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนำเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการขายสินค้า หรือการให้บริการที่ได้มีการเรียกเก็บเงินจ่ายล่วงหน้า เงินประกัน เงินมัดจำ หรือเงินจอง หรือเงินอื่นที่เรียกเก็บในลักษณะทำนองเดียวกัน ผู้รับจ้างไว้อีกส่วนหนึ่ง และจะคืนเงินประกันผลงานให้แก่ผู้รับจ้างเมื่อหมดระยะเวลาประกันผลงาน จึงมีภาระภาษีดังนี้
1. เงินจ่ายล่วงหน้า (Advance Payment)
(1) ผู้รับจ้างจะต้องนำเงินจ่ายล่วงหน้ามารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับข้อ 3.6 แห่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.1/2528 เรื่องการใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 28 สิงหาคม2528
(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้ว่าจ้างเมื่อจ่ายเงินล่วงหน้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0ของเงินล่วงหน้าตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป. 4/2528 เรื่องสั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากรมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน2528 เมื่อมีการจ่ายค่างวดงานแต่ละงวดให้แก่ผู้รับจ้างผู้ว่าจ้างมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของเงินค่างวดงานหลังหักเงินจ่ายล่วงหน้าในแต่ละงวดออกแล้ว
(3) ผู้รับจ้างต้องนำเงินจ่ายล่วงหน้ามารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากรโดยถือว่าความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการเกิดขึ้นในขณะได้รับชำระเงินดังกล่าว ตามมาตรา 78/1(1) แห่งประมวลรัษฎากร
2. เงินประกันผลงาน (Retention)
(1) เงินประกันผลงานที่ผู้รับจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ผู้ว่าจ้างตามจำนวนที่ตกลงในสัญญาโดยยินยอมให้ผู้ว่าจ้างหักเงินดังกล่าวจากเงินค่าจ้างในแต่ละงวด เพื่อเป็นประกันผลงานนั้น เมื่อผู้ว่าจ้างจ่ายเงินค่าจ้างแต่ละงวดให้ผู้รับจ้างโดยหักเงินประกันผลงานดังกล่าว กรณีนี้จึงถือเป็นรายได้ของผู้รับจ้างเต็มจำนวนมูลค่าของงานที่แล้วเสร็จในแต่ละงวดและเมื่อผู้ว่าจ้างจ่ายคืนเงินประกันผลให้แก่ผู้รับจ้าง ผู้ว่าจ้างไม่มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายอีก
(2) ผู้รับจ้างต้องนำเงินประกันผลงานที่ถูกผู้ว่าจ้างหักจากเงินค่าจ้างแต่ละงวดมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากรโดยถือว่าความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการเกิดขึ้นในขณะที่ได้รับเงินค่าจ้างแต่ละงวด ตามมาตรา 78/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากรเมื่อมีการจ่ายเงินประกันผลงานคืนให้แก่ผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างไม่ต้องนำเงินประกันผลงานดังกล่าวมาเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก อนึ่ง กรณีการให้บริการรับจ้างทำของอย่างอื่น นอกจากการให้บริการรับเหมาก่อสร้างและได้มีการเรียกเก็บเงินจ่ายล่วงหน้า และเงินประกันผลงาน ให้ถือปฏิบัติทำนองเดียวกับการให้บริการรับเหมาก่อสร้างดังกล่าว
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ภาษีซื้อต้องห้าม ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม คู่มือจัดทำโดยกรมสรรพากร อ่านเข้าใจง่าย
ภาษีซื้อต้องห้าม สำหรับมือใหม่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
คู่มือจัดทำโดยกรมสรรพากร อ่านเข้าใจง่าย
ต้องการพิมพ์เอกสารในการอ่าน คลิกลิงก์
http://goo.gl/ycuNke
คู่มือจัดทำโดยกรมสรรพากร อ่านเข้าใจง่าย
ต้องการพิมพ์เอกสารในการอ่าน คลิกลิงก์
http://goo.gl/ycuNke
มารู้จักภาษีมูลค่าเพิ่ม กันก่อน สำหรับผู้เริ่มต้นเข้าใจระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ครับ
ตอบคำถามผู้ประกอบการมือใหม่ เพื่อทำความเข้าใจพร้อมรองรับภาษีมูลค่าเพิ่ม
1.ภาษีมูลค่าเพิ่ม คืออะไร, ใครมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
3.จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่, ได้ที่ไหน
4.หน้าที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
5.หากอยู่ในข่ายที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่ยังจดทะเบียนจะต้องมี ความผิดอย่างไร
6.กำหนดเวลายื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อไหร่ และอื่นๆ
กรณีต้องการพิมพ์เอกสารเพื่ออ่าน คลิก Link ด้านล่าง ครับ
http://goo.gl/tKNPk3
1.ภาษีมูลค่าเพิ่ม คืออะไร, ใครมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
3.จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่, ได้ที่ไหน
4.หน้าที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
5.หากอยู่ในข่ายที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่ยังจดทะเบียนจะต้องมี ความผิดอย่างไร
6.กำหนดเวลายื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อไหร่ และอื่นๆ
กรณีต้องการพิมพ์เอกสารเพื่ออ่าน คลิก Link ด้านล่าง ครับ
http://goo.gl/tKNPk3
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ภาษีเกี่ยวกับการจ้างผลิต brand sticker line ผู้รับทำเป็นบริษัทในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี โดยผู้สั่งทำมีกิจการอยู่ในไทย ภาษีที่เราต้องรับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องมีอะไรบ้างคะ และอัตราเท่าไร
สำนักงานบัญชีไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ทั้งสิ้น
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น
ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น
ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์
คุณ Nufon Nichaphat ได้เขียนไปในไทม์ไลน์ “สุเทพ พงษ์พิทักษ์” เมื่อ 3 เมษายน 2557 เวลา 11:01 น. บริเวณ Makkasan ว่า
“อาจารย์คะ
ขอคำปรึกษาเรื่องภาษีเกี่ยวกับการจ้างผลิต brand sticker line ผู้รับทำเป็นบริษัทในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี โดยผู้สั่งทำมีกิจการอยู่ในไทย ภาษีที่เราต้องรับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องมีอะไรบ้างคะ และอัตราเท่าไร และจะแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างเราติดต่อผ่านตัวแทนนายหน้าในไทยกับการสั่งตรงยังบริษัทรับทำในต่างประเทศ”
ขอคำปรึกษาเรื่องภาษีเกี่ยวกับการจ้างผลิต brand sticker line ผู้รับทำเป็นบริษัทในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี โดยผู้สั่งทำมีกิจการอยู่ในไทย ภาษีที่เราต้องรับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องมีอะไรบ้างคะ และอัตราเท่าไร และจะแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างเราติดต่อผ่านตัวแทนนายหน้าในไทยกับการสั่งตรงยังบริษัทรับทำในต่างประเทศ”
เรียน คุณ Nufon Nichaphat
LINE Messenger Chat Application เป็นของ NHN Corporation ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์ Search Engine และ เว็บ Portal ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและเกาหลี Naver.co.kr Naver.co.jp ที่แม้แต่ Google เองยังไม่สามารถเอาชนะได้ NHN Corp มีสาขาทั้งในประเทศเกาหลีใต้และในประเทศญี่ปุ่น โดยธุรกิจหลักคือการขายโฆษณาบนผ่าน Search Engine และการทำเงินผ่าน Game Portal ที่ชื่อว่า Hangame เว็บไซต์เกมพอทัลที่มีสมาชิกมากกว่า 20 ล้านสมาชิก และเป็นเว็บไซต์เกมส์ส่งออกชื่อดังที่คนไทยหลายคนได้เคยติดกันงอมมาแล้ว ทั้งเกมประเภท MMORPG และ Casual Game
LINE Messenger Chat เป็นเพียงหนึ่งในบริการของทาง NHN Corp. เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2011 ในประเทศญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแอพพลิเคชั่นอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่นในเวลาเพียง 1 เดือน ทำให้ผู้บริหารของทาง NHN ต้องหันมาใส่ใจเป็นพิเศษและมองหาช่องทางการทำเงินโดยเร็ว ปัจจุบัน LINE ได้ถูกดาวน์โหลดไปใช้งานแล้วกว่า 70 ล้านดาวน์โหลดทั่วโลก ซึ่งรวมการดาวน์โหลดของทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง โทรศัพท์มือถือ แทบเบล็ต พีซี ซึ่ง LINE สนับสนุนการใช้งานทั้ง iOS, Android, Windows Phone และ BlackBerry และเปิดให้บริการกว่า 230 ประเทศทั่วโลก และเป็นแอพพลิเคชั่นที่ Rank อันดับ 1 ของ 24 ประเทศ ซึ่งรวมประเทศไทยในนั้นด้วย
หลังจากความสำเร็จของ LINE Messenger Chat NHN ยังต่อยอดแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ให้กับ LINE อีกเช่น LINE Camera, LINE Brush, LINE Card และ LINE Birzzle และล่าสุด เมื่อสัปดาห์ก่อน NHN ได้เปิดตัวเกมใหม่ 3 เกมที่มาพร้อมกับสติ๊กเกอร์ให้เราได้ดาวน์โหลดกัน คือ LINE Pop, LINE Cartoon Wars และ LINE Patapoko Animal
ฟีเจอร์การใช้งานของ LINE นั้นไม่ได้แตกต่างจาก What’s App, MSN Messenger หรือ WeChat ที่ให้เราได้ Chat ตรงกับผู้ใช้ LINE ด้วยกัน ด้วยการส่งข้อความ การสร้างกรุ๊ป Chat และการแชร์ภาพ วิดีโอ เสียง ระหว่างการสนทนา แต่จุดเด่นของ LINE คือ Voice Call ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่สามารถให้เราใช้แทนโทรศัพท์ได้ ทั้งในและต่างประเทศโดยไม่เสียเงิน อย่างไรก็ตาม Voice Call ก็ยังสู้ไม่ได้กับ Sticker ที่ผู้ใช้งานดูเหมือนจะเลิฟมากที่สุด คือ สติ๊กเกอร์ที่เราใช้แสดงอารมณ์ผ่านการพูดคุย และด้วยความน่ารัก จึงทำให้การแชทผ่าน LINE มีเอกลักษณ์และเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
1. ภาษีที่ผู้สั่งทำซึ่งประกอบกิจการในประเทศไทยต้องรับผิดชอบหรือเกี่ยวข้อง สำหรับการจ้างผลิต brand sticker line กับผู้รับทำเป็นบริษัทในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี
(1) กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากการจัดทำ brand sticker line เป็นการทำด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็น “งานวรรณกรรม” ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร แม้ผู้รับทำจะเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งมีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย บริษัทฯ ผู้สั่งทำก็มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร
- ตามข้อ 12 แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้กำหนดให้คำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายในอัตรา 15
- ตามข้อ 12 แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้กำหนดให้คำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายในอัตรา 5
- ตามข้อ 12 แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้กำหนดให้คำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายในอัตรา 15
- ตามข้อ 12 แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้กำหนดให้คำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายในอัตรา 5
(2) กรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม การจัดทำ brand sticker line หากเป็นกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในซอฟท์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยเด็ดขาด ถือเป็นการนำเข้าสินค้าที่ไม่มีรูปร่าง บริษัทฯ ผู้สั่งทำไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม
2. ไม่มีประเด็นความแตกต่างทางภาษีอากร ระหว่างการติดต่อผ่านตัวแทนนายหน้าในไทยกับการสั่งตรงยังบริษัทรับทำในต่างประเทศ บริษัทฯ ผู้สั่งทำก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติทางภาษีอากรตามข้อ 1 เช่นเดียวกัน สำหรับประเด็นราคา และความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งต่างหาก
รูปประกอบที่มา : วารสารกรมสรรพากร เดือนสิงหาคม 57
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ให้เช่ารถตู้เพื่อนำเที่ยวต่างจังหวัด แต่มีคนขับไปด้วยค่าน้ำมันคนเช่าเป็นผู้จ่าย อันนี้จะเข้า ม. 40 (5) หรือ ม. 40 (8) ค่ะ
สำนักงานบัญชีไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ทั้งสิ้น
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น
ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น
ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์
คุณ Montha Santiwittayanon (24 กันยายน 2558 เวลา 16:32 น.)
ปุจฉา: สวัสดีค่ะอาจารย์
หนูรบกวนขอถามอาจารย์ว่า เพื่อนให้เช่ารถตู้เพื่อนำเที่ยวต่างจังหวัด แต่มีคนขับไปด้วยค่าน้ำมันคนเช่าเป็นผู้จ่าย อันนี้จะเข้า ม. 40 (5) หรือ ม. 40 (8) ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ปุจฉา: สวัสดีค่ะอาจารย์
หนูรบกวนขอถามอาจารย์ว่า เพื่อนให้เช่ารถตู้เพื่อนำเที่ยวต่างจังหวัด แต่มีคนขับไปด้วยค่าน้ำมันคนเช่าเป็นผู้จ่าย อันนี้จะเข้า ม. 40 (5) หรือ ม. 40 (8) ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วิสัชนา:
กรณีมีรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งเกิน 10 ที่นั่งหรือรถตู้ “ให้เช่า” เพื่อนำเที่ยวต่างจังหวัด โดยมีคนขับไปด้วย ในส่วยของค่าน้ำมันผู้เช่าฯ เป็นผู้จ่าย นั้น ข้อเท็จจริงในการประกอบกิจการยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัย นอกจาก พิจารณาไปตามตัวอักษร อาทิ ประเด็นการส่งมอบการครอบครองรถยนต์ ความรับผิดในความเสียหายต่อผู้โดยสารในระหว่างเวลาตามสัญญา จึงต้อง “มโน” เพิ่มเองดังนี้
วิสัชนา:
กรณีมีรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งเกิน 10 ที่นั่งหรือรถตู้ “ให้เช่า” เพื่อนำเที่ยวต่างจังหวัด โดยมีคนขับไปด้วย ในส่วยของค่าน้ำมันผู้เช่าฯ เป็นผู้จ่าย นั้น ข้อเท็จจริงในการประกอบกิจการยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัย นอกจาก พิจารณาไปตามตัวอักษร อาทิ ประเด็นการส่งมอบการครอบครองรถยนต์ ความรับผิดในความเสียหายต่อผู้โดยสารในระหว่างเวลาตามสัญญา จึงต้อง “มโน” เพิ่มเองดังนี้
1. กรณีเจ้าของรถยนต์โดยสารไม่มีการส่งมอบการครอบครองรถยนต์ของตน และต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อผู้โดยสารที่ตนนำพาไปนั้น โดยการทำประกันวินาศภัยรถยนต์และผู้โดยสารเอง มิใช่ผู้ขอใช้บริการเป็นผู้ทำประกันวินาศภัย เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการให้บริการ “ขนส่ง” ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ในอัตราร้อยละ 80 ของเงินได้พึงประเมิน
ในกรณีนี้ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าบริการขนส่งด้วย
หากผู้รับนริการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1.0 ของเงินได้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
การให้บริการขนส่งเป็นการให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
สัญญารับจ้างขนส่ง ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์
หากผู้รับนริการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1.0 ของเงินได้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
การให้บริการขนส่งเป็นการให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
สัญญารับจ้างขนส่ง ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์
2. กรณีเจ้าของรถยนต์ “ให้เช่า” รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งเกิน 10 คน ซึ่งองค์ประกอบตามสัญญาต้องมีการส่งมอบการครอบครองรถยนต์ดังกล่าว ระหว่างเวลาการเช่า และผู้เช่าเป็นผู้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้โดยสารหรือสัมภาระในระหว่างเวลาที่เข่า นั้น ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ในอัตราร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน
ในกรณีนี้ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าบริการให้เช่าด้วย
หากผู้รับนริการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5.0 ของเงินได้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
การให้บริการให้เช่ารถยนต์เป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 (1) ประกอบกับมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
สัญญาให้บริการเช่ารถยนต์ ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์
ในกรณีนี้ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าบริการให้เช่าด้วย
หากผู้รับนริการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5.0 ของเงินได้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
การให้บริการให้เช่ารถยนต์เป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 (1) ประกอบกับมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
สัญญาให้บริการเช่ารถยนต์ ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์
3. กรณีเจ้าของรถยนต์ให้บริการ “นำเที่ยว” ได้แก่ การให้บริการขนส่งผสมกับการให้บริการนำเที่ยวในสถานที่กำหนด โดยมีมัคคุเทศก์ เป็นผู้บรรยาย ชี้แจง แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร – การรับเหมาที่ต้องจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ในอัตราร้อยละ 70 ของเงินได้พึงประเมิน
ในกรณีนี้ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าบริการนำเที่ยวด้วย
หากผู้รับนริการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของเงินได้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
การให้บริการนำเที่ยวเป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 (1) ประกอบกับมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
หากผู้รับนริการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของเงินได้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
การให้บริการนำเที่ยวเป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 (1) ประกอบกับมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
สัญญารับจ้างรับจ้างนำเที่ยว อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ ตามลักษณะตราสารที่ 4 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ในอัตรา 1 บาทต่อทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท แห่งสินจ้างที่กำหนดไว้
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558
การจ่ายค่านายหน้าให้บริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ และบุคคลชาวต่างประเทศที่ไม่ได้อาศัยในประเทศไทย
สำนักงานบัญชีไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์ทั้งสิ้น
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น
ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์
เป็นการนำมาแสดงประกอบข้อกฏหมายอ้างอิง
เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรโดยมีหลักกฎหมายอ้างอิงเท่านั้น
ที่มา Fanpages :- สุเทพ พงษ์พิทักษ์
คุณเพ็ญศรี บุญมี “Xiulan Yu” (7 กันยายน 2558 เวลา 2:46 น.)
ปุจฉา: เรียนถาม อาจารย์สุเทพที่เคารพ
ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมเรื่องการวางแผนรายจ่ายต้องห้ามเมื่อ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา ประทับใจมากค่ะที่อาจารย์ให้ความรู้เต็มที่ ตอบทุกคำถามที่ผู้เข้าอบรมเรียนถาม วันนี้ขอเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับการจ่ายค่านายหน้าให้บริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ และบุคคลชาวต่างประเทศที่ไม่ได้อาศัยในประเทศไทย ดังนี้ค่ะ
ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมเรื่องการวางแผนรายจ่ายต้องห้ามเมื่อ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา ประทับใจมากค่ะที่อาจารย์ให้ความรู้เต็มที่ ตอบทุกคำถามที่ผู้เข้าอบรมเรียนถาม วันนี้ขอเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับการจ่ายค่านายหน้าให้บริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ และบุคคลชาวต่างประเทศที่ไม่ได้อาศัยในประเทศไทย ดังนี้ค่ะ
1) ในการทำสัญญา มีภาระภาษีอะไร ที่บริษัทฯ ต้องหักจากผู้รับเงิน และควรระบุให้ทราบในสัญญา
2) บริษัทฯ ต้องนำส่งภาษีอะไรบ้างให้กรมสรรพากร
ขอรบกวนอาจารย์ด้วยค่ะเนื่องจากบริษัทฯ จำเป็นต้องเพิ่มช่องทางในการหาลูกค้าต่างประเทศให้มาใช้บริการและอยากทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ด้วยความเคารพอย่างสูง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วิสัชนา:
โดยทั่วไป ค่านายหน้า ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร
1. กรณีจ่ายค่านายหน้าให้บุคคลชาวต่างประเทศที่ไม่ได้อาศัยในประเทศไทย
ไม่ว่านายหน้าตัวแทนผู้มีเงินได้ค่านายหน้านั้น จะมีภูมิลำเนาตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) วรรคท้าย แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยบละ 15.0 ของเงินได้ พร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้
ไม่ว่านายหน้าตัวแทนผู้มีเงินได้ค่านายหน้านั้น จะมีภูมิลำเนาตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) วรรคท้าย แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยบละ 15.0 ของเงินได้ พร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้
2. กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการจ่ายค่านายหน้าให้แก่บริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ
(1) กรณีบริษัทนายหน้าตัวแทนที่เป็นผู้รับเงินได้ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย ให้บริษัทฯ คำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ที่จ่าย พร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้
(2) กรณีบริษัทนายหน้าตัวแทนที่เป็นผู้รับเงินได้ตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย บริษัทฯ ไม่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากเงินได้ที่จ่ายเข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่เป็น “กำไรจากธุรกิจ” (Business Profit) ซึ่งจะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร เฉพาะกรณีที่บริษัทต่างประเทศนั้น มีสถานประกอบการถาวรตั้งอยู่ในประเทศไทย
3. กรณีภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจ่ายค่าหน้าหน้าให้แก่ผู้รับทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น
(1) กรณีนายหน้าตัวแทนนั้นหาลูกค้าในประเทศไทยให้แก่บริษัทฯ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร (Out - In) เข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Scope) บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร พร้อมทั้งยื่น แบบ ภ.พ.36 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้
(2) กรณีนายหน้าตัวแทนหาลูกค้าในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้ใช้บริการนั้นในต่างประเทศ (Out - Out) ไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope) บริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)