วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รายได้ขับรถบริการผ่าน GRAB แกร็บ UBER อูเบอร์ เสียภาษีให้ถูกต้องทำอย่างไร

สำนักงานบัญชีไม่มีความสัมพันธ์ใดกับท่านอาจารย์สุเทพ พงษ์พิท้กษ์ แต่จัดทำบทความนี้เพื่อไว้อ้างอิงและเผยแพร่ประโยชน์กับสาธารณชน ความเชื่อถือในความเห็นของท่านอาจารย์และกฏหมายที่ท่านอาจารย์ได้อ้างอิงไว้เป็นหลักฐาน ครับ

ที่มา Fan Pages :-สุเทพ พงษ์พิทักษ์


คุณ ธีรธร “‎Lovetocollect Shop‎” (24 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10:32 น.)
 กราบเรียน คุณครูสุเทพ ที่เคารพ
ปุจฉา: ขออนุญาตเรียนถามแนวทางเพื่อเสียภาษีรายได้ปี 2559 จากประเด็นส่วนตัว เนื่องจากไม่เข้าใจรูปแบบแหล่งที่มาของรายได้เพื่อการเสียภาษี ดังนี้
1. ปี 2559 นี้ เป็นปีแรกที่ไม่มีรายได้จากงานประจำ หรืองานโครงการที่มีรายได้หักภาษี (ที่ผ่านมา ทุกปีได้ลงทุน RMF/ LTF ต่อเนื่อง) แต่ด้วยต้องมีรายได้เพื่อใช้จ่าย จึงตัดสินใจขับรถบริการผ่าน free application mobile ที่แพร่หลายขณะนี้ โดยเจ้าของ app แจ้งว่า มีเพียงใบเสร็จ (รายลัปดาห์) แจ้งการชำระเงินรายได้จากการขับเป็นหลักฐานเท่านั้น "ไม่มีการหักภาษี เนื่องจากไม่ใช่การว่าจ้างใดๆ" เป็นเพียงการให้บริการ app เพื่อการขับบริการเท่านั้น จึงไม่สามารถออกใบหักภาษีได้
2. ประเด็นขอคำปรึกษาแนะนำแนวทางปฏิบัติเพื่อการคำนวณภาษี
2.1 ควรเสียภาษีในประเภทใด ข้อใด ที่ตรงการระบุแหล่งที่มารายได้ ในเอกสารยื่นเสียภาษีเงินได้ของกรมสรรพากร
2.2 หลักฐานใบเสร็จฯ เป็นหลักฐานประกอบการยื่นภาษีเงินได้ ได้หรือไม่
2.3 การลงทุนใน RMF/ LTF ยังเป็นปกติหรือไม่
2.4 คำชี้แนะอื่นๆ ที่ควรปฏิบัติ
กราบขอความอนุเคราะห์คุณครูโปรดให้คำปรึกษา ชี้แนะแนวทาง เพื่อปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย
และกราบขออภัยคุณครูมาในที่นี้ ที่ขอคำชี้แนะล่าช้าใกล้สิ้นปีภาษีเงินได้มาก (แม้ติดตามฟังคุณครูผ่าน FM. 101.5 วิทยุจุฬา ต่อเนื่องยาวนานก็ตาม) ด้วยไม่แน่ใจว่า การยื่นภาษีเงินได้จากการขับรถบริการผ่าน free app. จะยื่นเสียภาษีเงินได้ด้วยหรือไม่ครับ
กราบขอบพระคุณคุณครูด้วยความเคารพอย่างสูง

สุเทพ พงษ์พิทักษ์


วิสัชนา:
กรณีประกอบกิจการขับรถบริการผ่าน free application mobile โดยเจ้าของ app แจ้งว่า มีเพียงใบเสร็จ (รายสัปดาห์) แจ้งการชำระเงินรายได้จากการขับเป็นหลักฐานเท่านั้น "ไม่มีการหักภาษี เนื่องจากไม่ใช่การว่าจ้างใดๆ" เป็นเพียงการให้บริการ app เพื่อการขับบริการเท่านั้น จึงไม่สามารถออกใบหักภาษีได้ นั้น
1. การให้บริการขับรถ เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการให้บริการขนส่ง เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุแหล่งที่มารายได้ว่า เป็นการให้บริการรถร่วมของ free application mobile ในแบบ ภ.ง.ด.94 และ ภ.ง.ด.90
2. หลักฐานใบเสร็จฯ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นภาษีเงินได้ โดยให้เก็บรักษาไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบต่อไป
3. การลงทุนใน RMF/ LTF ยังเป็นปกติทุกประการ ตามสัดส่วนของเงินได้
4. ขอให้มั่นใจ และภาคภูมิใจในการประกอบอาชีพสุจริตครับ และเป็นกำลังใจให้ครับ

ความเห็นเพิ่มเติม

สุเทพ พงษ์พิทักษ์ เงินได้จากการขนส่ง หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสำหรับปีภาษี พ.ศ. 2558 ได้ 80% ซึ่งยังสูงมาก ค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงและสมควรอาจน้อยกว่า แต่ก็ควรเก็บหลักฐานการจ่ายจริงไว้เป็นข้อมูลและเลือกหักค่าใช้จ่ายในปีภาษีที่มีค่าใช้จ่ายจริงสูงกว่าค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา เช่น รวมกับค่าซ่อมรถยนต์ เป็นต้น

อ้างอิงที่มา
https://www.facebook.com/Suthep.Pongpitak/posts/1337332246317748:0

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เฉลี่ยภาษีซื้อเมื่อมีรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการ ให้นำภาษีซื้อไปเฉลี่ยตามฐานรายได้ ภพ. 30 หรือว่าต้องเฉลี่ยภาษีซื้อตามฐานรายได้ ภงด.50

สำนักงานบัญชีไม่มีความสัมพันธ์ใดกับท่านอาจารย์สุเทพ พงษ์พิท้กษ์ แต่จัดทำบทความนี้เพื่อไว้อ้างอิงและเผยแพร่ประโยชน์กับสาธารณชน ความเชื่อถือในความเห็นของท่านอาจารย์และกฏหมายที่ท่านอาจารย์ได้อ้างอิงไว้เป็นหลักฐาน ครับ

ที่มา Fan Pages :-สุเทพ พงษ์พิทักษ์
คุณทราย
ปุจฉา: 

เรื่องการเฉลี่ยภาษีซื้อเมื่อมีรายได้จากเงินมัดจำค่าเช่าและค่าบริการ ตามที่ปรึกษาอาจารย์ คือให้นำภาษีซื้อไปเฉลี่ยตามฐานรายได้ ภพ. 30 แต่สรรพากรพื้นที่แจ้งว่า ต้องเฉลี่ยภาษีซื้อตามฐานรายได้ ภงด.50 จึงขอสอบถามอาจารย์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวคะ และมีข้อกฎหมายใดเพื่อมาอ้างอิงได้บ้างคะ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงคะ

สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วิสัชนา:

การเฉลี่ยภาษีซื้อเมื่อมีรายได้จากเงินมัดจำค่าเช่าและค่าบริการ ตามที่ได้แนะนำให้ฉลี่ยภาษีซื้อตามฐานรายได้ แบบ ภ.พ. 30 จำนวน 12 เดือนภาษี แต่สรรพากรพื้นที่แจ้งว่า ต้องเฉลี่ยภาษีซื้อตามฐานรายได้ ภงด.50 นั้น

ขอเรียนว่า กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นไปตามหมวด 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่มาตรา 77 ถึงมาตรา 90/5 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นคนละกฎหมายกับภาษีเงินได้นิติบุคคลตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งหากไม่มีบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร กฎหมายทั้งสองฉบับจะเป็น พระราชบัญญัติที่แยกกันโดยเด็ดขาด และเห็นได้โดยชัดแจ้ง ว่า ไม่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องในเชิงที่จะต้องนำรายได้ของอีกกฎหมายหนึ่งไปใชักับอีกกฎหมายหนึ่ง แต่เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรจากราษฎร จึงได้มีการตราประมวลรัษฎากร ขึ้น เป็นหมวดๆ แต่ละหมวดก็ยังคงแยกกันบังคับใช้โดยเด็ดขาด


การที่จะใช้รายได้ตามแบบ ภ.ง.ด.50 เป็นฐานในการเฉลี่ยรายได้นั้น 
ประการที่ 1 ไม่มีข้อกฎหมายใดกำหนดให้ต้องถือปฏิบัติเช่นนั้น ยกเว้นในปี 2535 ที่ยังไม่เคยมีรายได้ในระบยภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน อธิบดิกรมสรรพากร จึงอนุโลมให้ใช้รายได้ตามแบบ ภ.ง.ด.50 ของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2534 เป็นฐานในการเฉลี่ยภาษีซื้อของปี 2535 แต่ครั้นมีฐานภาษีมูลค่าเพิ่มเองแล้ว ก็ย่อมไม่พึงต้องใช้รายได้ตามแบบ ภ.ง.ด.50 เป็นฐานในการเฉลี่ยภาษีซื้ออีกต่อไป เพราะเป็นคนละกฎหมาย


ประการที่ 2 ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) ข้อ 4 ได้กำหนดฐานรายได้ที่จะใช้ในการเฉลี่ยภาษีซื้อไว้ชัดเจนแล้ว ดังนี้ 

"ข้อ 4 รายได้ตามข้อ 2 และข้อ 3 หมายความว่า

(1) รายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายความว่า มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ...

(2) รายได้ของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายความว่า มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รายรับของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และรายรับของกิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ...
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 67) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นไป)
“รายได้ตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึง

(ก) รายได้ที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนนำเงินไปหาประโยชน์โดยการฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรหรือหลักทรัพย์ หรือซื้อตั๋วเงินของสถาบันการเงินอื่น แต่ทั้งนี้ไม่ใช้บังคับสำหรับการประกอบกิจการตามมาตรา 91/2(1)(2) และ (3) แห่งประมวลรัษฎากร

(ข) รายได้ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีการกู้ยืมเงินกันเองในระหว่างบริษัทในเครือเดียวกัน
คำว่า "บริษัทในเครือเดียวกัน" หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปซึ่งมีความสัมพันธ์กันโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอีกแห่งหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือนก่อนวันที่มีการกู้ยืม

(ค) รายได้ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนสะสมพนักงานหรือทุนอื่นใดเพื่อพนักงาน และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้นำเงินกองทุนนี้ออกให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกู้ยืมเป็นสวัสดิการ

(ง) รายได้ที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีการประกอบกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 153) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป)


ดังจะเห็นได้ว่าตามข้อ 4 (1) กำหนดให้ใช้ "มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม" ด้งนี้ 

"(1) รายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายความว่า มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม" 
จึงเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า ต้องใช้มูลค่าของฐานภาษีตามแบบ ภ.พ.30 เท่านั้น เพราะในแบบ ภ.ง.ด.50 ไม่ปรากฏว่ามี "มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม" ให้เห็นแต่อย่างใด

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ข้อมูลการขอใบอนุญาตการทำงาน “คนต่างด้าวระดับฝีมือ/ชำนาญการ” จากกระทรวงแรงงาน

ข้อมูลการขอใบอนุญาตการทำงาน “คนต่างด้าวระดับฝีมือ/ชำนาญการ” จากกระทรวงแรงงาน
ที่มา http://www.mol.go.th/employee/permission_work

ข้อมูล ณ วันที่ 29/11/2559

การขอใบอนุญาตทำงาน
“คนต่างด้าวระดับฝีมือ/ชำนาญการ”

1. การขอรับใบอนุญาตทำงาน
          คนต่างด้าวที่ประสงค์จะทำงานต้องมีวีซ่า NON - IMMIGRANT - B โดยคนต่างด้าวต้องให้นายจ้าง/สถานประกอบการจัดเตรียมและส่งสัญญาจ้างพร้อมเอกสารการดำเนินงานธุรกิจของสถานประกอบการนำไปยื่นต่อสถานทูตไทยในประเทศนั้น ๆ พิจารณาออกวีซ่า NON - IMMIGRANT - B โดยเมื่อคนต่างด้าวได้รับวีซ่านั้นแล้ว จึงเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร และยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานตามแบบคำขอ “ตท.1 

          หากสถานทูตไทยในประเทศนั้นพิจารณาเอกสารการดำเนินธุรกิจและสถานะทางการเงินของนายจ้าง/สถานประกอบการแล้วเห็นว่ายังไม่เพียงพอต่อการจ้างคนต่างด้าวเข้าทำงาน ทำให้ต้องการหนังสือจากกระทรวงแรงงานต่อไปอีก จึงให้นายจ้าง/สถานประกอบการยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวตามแบบคำขอ “ตท.3” เมื่อนายจ้าง/สถานประกอบการได้รับหนังสือแจ้งการพิจารณาอนุญาตทำงานแล้ว ต้องจัดส่งหนังสือดังกล่าวพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้คนต่างด้าวนำไปยื่นขอวีซ่า NON – IMMIGRANT - B ณ สถานทูตไทยในประเทศนั้น หลังจากนั้นคนต่างด้าวจึงเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรภายใน 30 วันนับจากวันที่รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอนุญาต เพื่อยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานพร้อมเอกสารตามที่ระบุไว้ในหนังสือแจ้งผล 

          ทั้งนี้ กรณีคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่และใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้ว ให้ยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานตามแบบคำขอ “ตท.1” โดยไม่ต้องดำเนินการขอวีซ่า NON - IMMIGRANT - B

2. คนต่างด้าวต้องไม่เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามเงื่อนไข ดังนี้
    2.1 มีความรู้และความสามารถในการทำงานตามที่ขออนุญาต
    2.2 ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
    2.3 ไม่เป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะปรากฏอาการอันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคติดยาเสพติดให้โทษอย่างร้ายแรง โรคพิษสุราเรื้อรัง และโรคซิฟิลิสในระยะที่ 3
    2.4 ไม่เคยต้องโทษจำคุกในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวภายในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนวันขอรับใบอนุญาต

3. คนต่างด้าวต้องไม่ขอทำงานตามพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. 2522 จำนวน 39 อาชีพ (เรียกดูข้อมูลในเมนู “ข้อมูลเผยแพร่”)

4. หลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตทำงานให้คนต่างด้าว โดยคำนึงถึง
    - ความมั่นคงภายในราชอาณาจักรด้านการเมือง ศาสนา เศรษฐกิจและสังคม 
    - โอกาสในการประกอบอาชีพของคนไทย และความต้องการแรงงานต่างด้าวที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ 
      (ตัวอย่างเช่น คนต่างด้าว 1 คนต้องจ้างงานพนักงานคนไทยทำงานประจำ 4 คน)
    - ประโยชน์จากการอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในตำแหน่งงานนั้น เช่น การนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาลงทุนหรือใช้จ่ายในประเทศเป็นจำนวนมาก การจ้างงานคนไทยจำนวนมาก หรือการพัฒนาทักษะฝีมือคนไทยซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน

5. การกำหนดจำนวนการพิจารณาออกใบอนุญาตทำงาน
    5.1 นายจ้างที่มีขนาดการลงทุนจากทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท หรือจดทะเบียนนิติบุคคลในต่างประเทศนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ออกใบอนุญาตทำงานให้ 1 คน และให้เพิ่มขึ้นหนึ่งคนต่อขนาดการลงทุนทุก 2 หรือ 3 ล้านบาท เว้นแต่คนต่างด้าวมีคู่สมรสเป็นคนไทยซึ่งจดทะเบียนสมรสโดยถูกต้องตามกฎหมาย ขนาดของการลงทุนลดลงกึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ไม่เกิน 10 คน /หรือ
    5.2 การออกใบอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการดังต่อไปนี้ จำนวนของการออกใบอนุญาตทำงานเป็นไปตามความจำเป็นและเหมาะสม
          - ดำเนินธุรกิจส่งออกสินค้าไปต่างประเทศและนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศไม่น้อยกว่าสามสิบล้านบาทขึ้นไปในปีที่ผ่านมา /หรือ
          - ดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งนำชาวต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไม่น้อยกว่าห้าพันคนในรอบปีที่ผ่านมา /หรือ
          - สถานประกอบการมีการจ้างงานคนไทยไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคน /หรือ
          - เป็นงานที่ใช้เทคโนโลยีซึ่งคนไทยทำไม่ได้หรือใช้ความรู้ความชำนาญเฉพาะทางเพื่อให้งานสำเร็จภายใต้โครงการที่มีระยะเวลาแน่นอน /หรือ
          - สถานประกอบการชำระภาษีเงินได้ให้แก่รัฐในรอบปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า ๓ ล้านบาท /หรือ
          - หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน หรือคนต่างด้าวตามที่มีหนังสือรับรองจากหน่วยงานดังกล่าว /หรือ
          - สถาบันการศึกษาของเอกชน ซึ่งมีหนังสือแต่งตั้งให้เป็นครู/ผู้สอน/บุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน /หรือ
          - มูลนิธิ สมาคม หรือองค์กรอื่นที่มีวัตถุประสงค์ไม่แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจหรือเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม /หรือ
          - กิจการบันเทิง มหรสพ ดนตรี ซึ่งมีลักษณะการจ้างงานเป็นครั้งคราวมีระยะเวลากำหนดไว้แน่นอน /หรือ
          - อื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบกรมการจัดหางานว่าด้วยหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2552 (เรียกดูข้อมูลในเมนู “ข้อมูลเผยแพร่”)
หมายเหตุ  พิจารณารายได้ขั้นต่ำของคนต่างด้าวประกอบด้วย (ตามตารางเงินได้ในหัวข้อที่ 16)

6. อายุของใบอนุญาตทำงาน พิจารณาอนุญาตให้ตามความจำเป็นของงานหรือตามที่ขอ ทั้งนี้ไม่เกิน 2 ปี/ครั้ง

7. การต่ออายุใบอนุญาตทำงาน คนต่างด้าวผู้รับใบอนุญาตทำงาน หากประสงค์จะทำงานนั้นต่อไป ต้องไปขอต่ออายุวีซ่าจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองก่อน แล้วจึงให้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานตามแบบคำขอ “ตท.5” โดยต้องยื่นแบบคำขอก่อนสิ้นอายุการอนุญาต ทั้งนี้ “ใบอนุญาตทำงานที่สิ้นอายุแล้วไม่สามารถต่ออายุได้”

8. การเปลี่ยนหรือเพิ่ม การทำงาน สถานที่ และท้องที่ในการทำงาน คนต่างด้าวผู้ถือใบอนุญาตทำงานที่ยังคงทำงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการที่อนุญาตไว้เดิม หากมีความประสงค์ดังกล่าว ยื่นขออนุญาตตามแบบคำขอ “ตท.6

9. การเปลี่ยนนายจ้าง/สถานประกอบการ คนต่างด้าวต้องไปติดต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อลงตรา VISA พ้นหน้าที่เดิมและขออยู่ต่อในราชอาณาจักรอีก 7 วัน หรือเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปขอ Non - Immigrant VISA ใหม่จากสถานทูตไทย แล้วจึงยื่นขอใบอนุญาตทำงานใหม่ ตามแบบคำขอ “ตท.1” เพื่อทำงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการใหม่ก่อน VISA หมดอายุ

10. คนต่างด้าวผู้ถือใบอนุญาตทำงานประสงค์จะมีการเปลี่ยนแปลง ชื่อ - นามสกุล สัญชาติ ลายมือชื่อ การย้ายที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ชื่อสถานประกอบการ รายละเอียดของสถานประกอบการตามประกาศของทางราชการ และการเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทธุรกิจ ให้ยื่น “คำร้องขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในใบอนุญาต”

11. กรณีใบอนุญาตทำงานเดิมชำรุดในสาระสำคัญ หรือ สูญหาย ให้ยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตทำงานภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบการชำรุดหรือสูญหาย ยื่นตามแบบคำขอ “ตท.4

12. การขอยกเลิกการอนุญาตทำงาน กรณีคนต่างด้าวผู้ถือใบอนุญาตทำงานลาออกจากงาน หรือนายจ้างให้   คนต่างด้าวนั้นออกจากงาน และหากมีความประสงค์จะแจ้งให้นายทะเบียนทราบ ยื่นแจ้งตามแบบ “ใบแจ้งยกเลิกการอนุญาตทำงาน” ภายหลังจากคนต่างด้าวออกจากงานแล้ว โดยไม่มีบทลงโทษหรือกำหนดระยะเวลาการแจ้ง

13. การแจ้งการเข้ามาทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วน กรณีคนต่างด้าวที่พำนักอยู่นอกราชอาณาจักรมีความจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาเพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วน โดยมีระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 15 วัน ให้ยื่นแจ้งตามแบบคำขอ “ตท.10” ทั้งนี้ “งานที่เข้ามาทำนั้นต้องมีลักษณะเป็นงานอันจำเป็นและเร่งด่วนถึงขนาด ซึ่งถ้าไม่รีบทำงานดังกล่าวแล้วน่าจะเกิดความเสียหายขึ้น โดยไม่มีกำหนดการณ์ล่วงหน้า และมีระยะเวลาในการทำงานแล้วเสร็จได้ภายใน 15 วัน” หมายเหตุ ไม่มีการต่ออายุให้อีก

14. สถานที่ติดต่อยื่นคำขอ ให้ดำเนินการ ณ ท้องที่อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ทำงานของผู้ยื่นคำขอ ดังนี้
      - กรุงเทพมหานคร ติดต่อ สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ชั้น 2 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี ดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
      - ในส่วนภูมิภาค/ต่างจังหวัด ติดต่อ สำนักงานจัดหางานจังหวัดตามที่สถานประกอบการตั้งอยู่

15. อัตราค่าธรรมเนียม   
    (1) การยื่นคำขอฉบับละ 100 บาท
    (2) ใบอนุญาต 
          (ก) ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือนฉบับละ 750 บาท
          (ข) ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือนแต่ไม่เกินหกเดือนฉบับละ 1,500 บาท
          (ค) ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือนแต่ไม่เกินหนึ่งปีฉบับละ 3,000 บาท
     (3) การต่ออายุใบอนุญาตหรือการขยายระยะเวลาการทำงาน 
          (ก) การต่ออายุใบอนุญาตหรือการขยายระยะเวลาการทำงานไม่เกินสามเดือนครั้งละ 750 บาท
          (ข) การต่ออายุใบอนุญาตหรือการขยายระยะเวลาการทำงานเกินสามเดือนแต่ไม่เกินหกเดือน 
          (ค) การต่ออายุใบอนุญาตหรือการขยายระยะเวลาการทำงานเกินหกเดือนแต่ไม่เกินหนึ่งปีครั้งละ 3,000 บาท
     (4) ใบแทนใบอนุญาตฉบับละ 500 บาท
     (5) การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงานครั้งละ 1,000 บาท
     (6) การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้างครั้งละ 3,000 บาท
     (7) การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานครั้งละ 1,000 บาท
     (8) การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขในการอนุญาตครั้งละ 150 บาท
  
 16. ตารางเงินได้ท้ายคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 777/2551 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2.1 (2)
  
สัญชาติ
รายได้ขั้นต่ำ
1. ประเทศในทวีปยุโรป (ยกเว้นรัสเซีย) และออสเตรเลีย, แคนาดา, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา50,000 บาท/เดือน
2. ประเทศเกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน และฮ่องกง45,000 บาท/เดือน
3. ประเทศในทวีปเอเซีย (ยกเว้นญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สิงคโปร์,ไต้หวัน, ฮ่องกง, กัมพูชา, พม่า, ลาว และเวียดนาม) และทวีปอเมริกาใต้, ประเทศในเขตยุโรปตะวันออก, ประเทศในเขตอเมริกากลาง, เม็กซิโก, ตุรกี, รัสเซีย และแอฟริกาใต้35,000 บาท/เดือน
4. ประเทศในแอฟริกา (ยกเว้นแอฟริกาใต้), กัมพูชา, พม่า, ลาว และเวียดนาม25,000 บาท/เดือน

ตท.1 คำขอรับใบอนุญาตทำงาน ตามมาตรา 9
ตท.2 คำขอรับใบอนุญาตทำงาน ภายใต้ MOU
ตท.3 คำขอรับใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว ตามมาตรา 11
ตท.4 คำขอรับใบแทนใบอนุญาตทำงาน ตามมาตรา 25
ตท.5 คำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ตามมาตรา 23
ตท.6 คำขออนุญาตเปลี่ยนการทำงานหรือเปลี่ยนท้องที่ หรือสถานที่ในการทำงาน ตามมาตรา 26
ตท.10 แบบหนังสือแจ้งการเข้ามาทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วน ตามมาตรา 9
ตท.13
ตท.15

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บริษัทนำเข้าสินค้าต่างประเทศเข้าเขตอุตสาหกรรมส่งออก( EPZ) ยกเว้นอากรขาเข้าเพื่อขายให้บริษัทที่ได้รับ BOI ยกเว้นอากรขาเข้า

เลขที่หนังสือ: กค 0706/พ./3080
วันที่: 29 มีนาคม 2547
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการนำเข้าสินค้า
ข้อกฎหมาย: มาตรา 81(2)(ค), มาตรา 81(2)(ง), มาตรา 77(1)(18)(ก)
ข้อหารือ: กรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการส่งออกขนมปังกรอบ และเป็นผู้แทนจำหน่ายถ่านไฟฉายโตชิบาซึ่ง
นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น บริษัทฯ ได้เปิด L/C สั่งซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมาขายให้ลูกค้าซึ่งมี
สถานประกอบการอยู่ในอารักขาของศุลกากร หรือตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก (EPZ) หรือได้รับ
การส่งเสริมการลงทุน (BOI) บริษัทฯ หารือว่า
1. กรณีบริษัทฯ ได้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำเข้าสินค้าเอง บริษัทฯ จะได้รับ
การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ และเมื่อบริษัทฯ เรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าเพื่อไปชำระค่าสินค้า
ตาม L/C บริษัทฯ จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าหรือไม่
2. กรณีลูกค้าเป็นผู้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำเข้าสินค้าเอง ลูกค้าจะได้รับ
การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ และหากลูกค้าได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อบริษัทฯ
เรียกเก็บเงินเพื่อไปชำระค่าสินค้าตาม L/C บริษัทฯ จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าหรือไม่
3. กรณีบริษัทฯ สั่งซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น และเป็นผู้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำเข้า
สินค้าเอง แล้วส่งสินค้าไปยังสถานประกอบการของลูกค้าซึ่งเป็นโรงงานที่นำเข้าเพื่อผลิตแล้วส่งออก
และมิใช่โรงงานซึ่งอยู่ในอารักขาของศุลกากร หรืออยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก หรือได้รับการ
ส่งเสริมการลงทุน กรณีดังกล่าว บริษัทฯ สามารถขอคืนภาษีซื้อได้หรือไม่
แนววินิจฉัย: 1. กรณีบริษัทฯ ได้สั่งซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นโดยเป็นผู้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำเข้า
สินค้าด้วยตนเอง หากสินค้าที่บริษัทฯ นำเข้าดังกล่าวมิใช่สินค้าที่จำแนกประเภทไว้ในภาคว่าด้วยของที่ได้
รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ตามมาตรา 81(2)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร
บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้า มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากร
พร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามมาตรา 83/8 แห่งประมวลรัษฎากร
และเมื่อบริษัทฯ เรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าซึ่งเป็นผู้ซื้อสินค้า บริษัทฯ มีหน้าที่เรียกเก็บ
ภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ตามมาตรา 78 แห่ง
ประมวลรัษฎากร
2. กรณีบริษัทฯ สั่งซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น และตกลงโอนสินค้าให้ลูกค้าซึ่งมี
สถานประกอบการอยู่ในอารักขาของศุลกากร หรือตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วย
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (EPZ) หรือได้รับการส่งเสริมตามกฎหมายว่าด้วยการ
ส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นผู้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำเข้าสินค้าด้วยตนเอง ลูกค้าจะได้รับสิทธิ
ประโยชน์ในการนำเข้าสินค้าตามประมวลรัษฎากร ดังนี้
(1) กรณีลูกค้าได้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำเข้าสินค้าและอยู่ในอารักขาของศุลกากร
แล้วได้ส่งกลับออกไปต่างประเทศ โดยได้คืนอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร การนำเข้า
ดังกล่าวได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(2)(ง) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีลูกค้าซึ่งมีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ได้ดำเนินพิธีการ
ทางศุลกากร นำสินค้าจากต่างประเทศเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก หากสินค้านั้นได้รับยกเว้นอากร
ขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การนำเข้าสินค้าดังกล่าวได้รับ
ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/1(21) และมาตรา 81(2)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร
(3) กรณีลูกค้าซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนได้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำเข้าสินค้า
ด้วยตนเอง หากสินค้าดังกล่าวเป็นวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกและได้รับอนุมัติให้ได้รับสิทธิ
ประโยชน์ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ลูกค้าผู้นำเข้าจะได้รับสิทธิในการวางเงินประกัน
หลักประกัน หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกัน เพื่อเป็นประกันภาษีมูลค่าเพิ่มแทนการชำระภาษีก็ได้ ทั้งนี้ ตาม
มาตรา 83/8 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
3. กรณีลูกค้าผู้นำเข้าสินค้าได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตาม 2(1) และ 2(2) หรือได้
วางเงินประกัน หลักประกัน หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกัน เพื่อเป็นประกันภาษีมูลค่าเพิ่มแทนการชำระภาษีตาม
2(3) กรณีดังกล่าว ถือได้ว่าลูกค้าซึ่งเป็นผู้นำเข้าไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรตาม
มาตรา 83/8 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น ค่าตอบแทนจากการขายสินค้าดังกล่าว จึงไม่เข้า
ลักษณะเป็นค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79(4) แห่ง
ประมวลรัษฎากร และข้อ 2(9) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40)ฯ
ลงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 80)ฯ ลงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2541 เมื่อบริษัทฯ เรียกเก็บเงินค่าสินค้าจาก
ลูกค้า บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีในทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น โดย
เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 จากลูกค้า ทั้งนี้ ตามมาตรา 78(1) และมาตรา 80 แห่ง
ประมวลรัษฎากร
4. กรณีบริษัทฯ สั่งซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น และได้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำเข้าสินค้า
ด้วยตนเอง แล้วส่งสินค้าไปขายให้แก่โรงงานซึ่งเป็นโรงงานที่นำเข้าเพื่อผลิตและส่งออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ที่บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและเป็นผู้นำเข้าได้เสียไปเมื่อตอนนำเข้าสินค้า ถือเป็นภาษีซื้อ
ตามมาตรา 77/1(18)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีสิทธินำภาษีซื้อดังกล่าวไปหักในการคำนวณ
ภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ใบเสร็จรับเงินที่กรมศุลกากรออกให้ใน
การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อตอนนำเข้าให้ถือเป็นใบกำกับภาษี ตามมาตรา 86/14 แห่ง
ประมวลรัษฎากร
เลขตู้: 67/32883

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

นิติบุคคล ที่จดแจ้งบัญชีชุดเดียวกรมสรรพากร ไม่ยื่นแบบ ภงด 50 ปี 58 ภายใน 31 สค 59



สามารถอ่านข่าวประชาสัมพันธ์ได้โดยคลิกลิงก์ ข้างล่าง
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/news19_2559.pdf

โดยสรุปการเสียสิทธิ์บัญชีชุดเดียว คือ
1.สิทธิ์ยกเว้นการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังตั้งแต่ก่อนปี 58
คลิกอ่านเพิ่มเติม
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/01/sme.html
2,สิทธิ์ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล SME ปี 59 อัตรา 0 %
คลิกอ่านเพิ่มเติม
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/01/58.html
3.สิทธิ์การยื่นแบบเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเสียค่าปรับ  ภพ 30 ภงด 1,2,3 และ 53 ภธ 40 อส 4ก สำหรับแบบ มค 58 ถึง มีค 59 ชำระภายใน 30 มิย 59
คลิกอ่านเพิ่มเติม
http://skaccountinginformation.blogspot.com/2016/03/58-59.html


วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คู่มือภาษีอากรสำหรับกิจการร้านทองเฉพาะกรณีโอนกิจการทั้งหมดจากบุคคลธรรมดาเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

คู่มือภาษีอากรสำหรับกิจการร้านทองเฉพาะกรณีโอนกิจการทั้งหมดจากบุคคลธรรมดาเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพื่อให้การจัดทำบัญชีและการเสียภาษีอากรเป็นไปอย่างมีระบบ ถูกต้องครบถ้วน และเป็นมาตรฐานเดียวกันในกลุ่มธุรกิจ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/thong200659.pdf

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

พรก 604 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 266 + 270 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุุคคล สำหรับเงินได้ที่จ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่า


ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 266 เป็นการออกหลักเกณฑ์โดยอธิบดีกรมสรรพากร ตามพระราชกฤษฎีกา 604 พศ.2559 กำหนดหลักเกณฑ์ปฎิบัติ วิธีการ และเงื่อนไข ได้สิทธิ์ประโยชน์ ดังนี้

ส่งเสริมลงทุน แบ่งเป็น 2 ประเภท

1.ต้องมีสัญญา ใบสั่งซื้อ ใบสั่งจ้าง หรือข้อตกลงในลักษณะเดียวกัน กับสินทรัพย์ดังต่อไปนี้ ในระหว่างวันที่ 3 พย 58 ถึง 31 ธค 59
         ประเภทสินทรัพย์ หัก เพิ่มยกเว้นภาษีได้อีก 1 เท่า                ระยะเวลาเฉลี่ยปี                                                                                                                          
1.1เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์              5
1.2โปรแกรมคอมพิวเตอร์                                                                              3
1.3ยานพาหนะที่จดทะเบียนในราชอาณาจักรและมีที่นั่งเกิน 10 คน                 5

(2) กรณีอาคาร หรือดัดแปลงอาคาร ซื้ออาคารไม่ได้นะครับ

2.1ต้องขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 หรือ

2.2 ต้องแจ้งก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารตามมาตรา 39 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 โดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 หรือ

2.3 กรณีที่ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2528) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จะต้องเกิดจากสัญญาจ้าง ใบสั่งจ้างหรือข้อตกลงในลักษณะทำนองเดียวกันทั้งสิ้นที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

2.4 การลงทุนในทรัพย์สินตามข้อ 1(4) ไม่รวมถึงการลงทุนในทรัพย์สินโดยการซื้อหรือเช่าซื้อ ทรัพย์สินนั้นมา”

1.4 ลงทุน ต่อเติม เปลี่ยนแปลงขยายออกอาคาร                                             20

3.สิทธิประโยชน์ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล

เพิ่มขึ้น 100% เท่ากับเงินลงทุน โดยให้เฉลี่ยตามระยะเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด

4.จัดทำรายงานพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบแนบรายงาน พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้ตาม เอกสารแนบท้ายประกาศ
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/dg266.pdf

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้(ฉบับที่ 270) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนหรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือท าให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินแต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร แก้ไข ประกาศฉบับที่ 266
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/dg270.pdf



วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แก้ไขรอบระยะเวลาบัญชีของนิติบุคคล กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากร


ที่มา WEB BOARD กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

คำถาม :-

จดทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุรอบระยะเวลาบัญชีเริ่ม 1 เมษายน สิ้นสุด 31 มีนาคม ของทุกปี สำหรับปีแรก ต้องการยื่นแบบ ภงด.50 เป็นรอบระยะเวลาบัญชีเริ่ม 1 มกราคม สิ้นสุด 31 ธันวาคม ของทุกปี จะต้องแจ้งแก้ไขกับกรมพัฒนา หรือไม่ และถ้าต้องแจ้งแก้ไข ควรทำอย่างไร และใช้เอกสารอะไรบ้าง ขอบคุณค่ะ

คำตอบ:- สำนักงานบัญชีธุรกิจ

ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องปิดบัญชีครั้งแรกภายในสิบสองเดือนนับแต่วันเริ่มทำบัญชีที่กำหนดตามมาตรา ๘ วรรคหก หรือวันเริ่มทำบัญชีตามมาตรา ๙ (วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย) แล้วแต่กรณี และปิดบัญชีทุกรอบสิบสองเดือนนับแต่วันปิดบัญชีครั้งก่อน เว้นแต่เมื่อได้รับอนุญาตจากสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีให้เปลี่ยนรอบปีบัญชีแล้วอาจปิดบัญชีก่อนครบรอบสิบสองเดือน ดังนั้น ขอชี้แจงการเปลี่ยนรอบปีบัญชีเป็น 2 กรณีดังนี้ 

1.กรณีเป็นการปิดรอบปีบัญชีปีแรกของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี หากเปลี่ยนรอบปีบัญชีแล้วไม่เกินสิบสองเดือนนับแต่วันเริ่มทำบัญชีตามกฎหมาย (วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย) สามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชี แต่ต้องแก้ไขข้อบังคับของบริษัท (ถ้ามี) จากรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มวันที่ 1 เมษายน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี เป็นเริ่มวันที่ 1 มกราคม สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งรอบปีบัญชีแรกที่ปิดในกรณีนี้จะเป็นรอบระยะเวลาบัญชีตั้แต่วันที่ 1 เมษายน สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคมของปีเดียวกัน 

2.กรณีเปลี่ยนรอบปีบัญชีหลังจากที่เคยปิดรอบปีบัญชีในปีก่อนๆ มาแล้ว ต้องขออนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชี กรณีนี้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีขอเปลี่ยนรอบปีบัญชีจากระยะเวลาบัญชีเริ่มวันที่ 1 เมษายน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี เป็นเริ่มวันที่ 1 มกราคม สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี สามารถทำได้ 

โดยนำเอกสารหลักฐานประกอบคำขออนุญาต ดังนี้ 

1. สำเนาหนังสือรับรองรายการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล 

2. สำเนารายงานการประชุมผู้ถือหุ้นที่อนุมัติให้เปลี่ยนรอบปีบัญชี 

3.สำเนาหนังสือของกรมสรรพากรที่อนุญาตให้เปลี่ยนรอบปีบัญชี (ถ้ามี) ทั้งนี้ให้ยื่นขอต่อกรมสรรพากรก่อน ซึ่งกรณีนี้ไม่ต้องให้สรรพากรอนุญาต 

4.สำเนารายงานการประชุมจัดตั้งบริษัท หรือสำเนาข้อบังคับของบริษัทอย่างใดอย่างหนึ่ง (ถ้ามี) 

5.สำเนาแบบนำส่งงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน (ส.บช.3) ครั้งสุดท้ายก่อนการขออนุญาต 

6.หนังสือมอบอำนาจที่ติดอากรครบถ้วนพร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ (กรณีผู้มีอำนาจลงนามแทนนิติบุคคลมอบหมายให้ผู้อื่นทำการแทน) 0

การปิดงบการเงิน รอบปีบัญชีแรก คือ 1 ตุลาคม 2554 – 31 ธันวาคม 2554 รอบปีบัญชีถัดไป 1 มกราคม 2555 – 31 ธันวาคม 2555 โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะพิจารณาและแจ้งให้กรมสรรพากรทราบ และต้องขออนุญาตก่อนวันปิดรอบปีบัญชีที่เปลี่ยน มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการเปลี่ยนรอบปีบัญชีโดยมิได้ขออนุญาต ทั้งนี้ท่านสามารถโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 0-2547-5981 และ 0-2547-4408 (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การนำค่าโฆษณา google adword มาลงเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท


สรุปเลยนะครับ

ลงโฆษณา google จ่ายค่าโฆษณา ไปที่ ireland ถือเป็นเงินได้ 40 (8) ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

แต่ใช้ในประเทศไทยต้องจ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่าน ภพ 36 อ่านรายละเอียด ตามเอกสารประกอบ

อ้างอิงการตอบจากจดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพกร เลขที่ กค 0706/10491

วันที่ : 17 ตุลาคม 2550
เรื่อง : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายเงินไปต่างประเทศ
ข้อกฎหมาย: มาตรา 77/2 มาตรา 85/6(2) มาตรา 41 มาตรา 80/1(2) มาตรา 70 มาตรา 80 มาตรา 40(8) มาตรา 40(2) และมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร


          1.บริษัท ด. ประกอบกิจการเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เมื่อลูกค้าของบริษัทฯ ได้ว่าจ้างบริษัทฯ ทำกราฟฟิกดีไซน์ พัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์ทำการตกลงเกี่ยวกับการบริการและขอบเขตการดำเนินงานตลอดจนราคาแล้ว บริษัทฯจะติดต่อผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศอินเดียให้ดำเนินการอีกทอดหนึ่งหลังจากที่ผู้รับจ้างทำงานเสร็จและส่งมอบงานแล้ว บริษัทฯจะส่งมอบงานให้ลูกค้าและเรียกเก็บเงินต่อไปโดยผู้รับจ้างไม่มีลิขสิทธิ์ในงานที่ทำจึงขอทราบว่า

              1.1การจ่ายเงินค่าจ้างให้กับผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศอินเดียนั้นจะต้องหักภาษีณ ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

              1.2กรณีบริษัทฯส่งงานดังกล่าวให้กับลูกค้าในต่างประเทศโดยลูกค้าจะได้รับลิขสิทธิ์เต็มตลอดจนซอร์สโคด (Source Code) ในโปรแกรมดังกล่าวค่าบริการที่บริษัทฯ ได้รับจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

          2. การชำระค่าโฆษณาและการรับชำระค่าโฆษณากรณีลูกค้าอยู่ประเทศไอร์แลนด์

              2.1ในทุก ๆ เดือน บริษัทฯ จะชำระค่าโฆษณาในSearch engine ให้กับบริษัท G. ในประเทศไอร์แลนด์บริษัทฯ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

              2.2บริษัทฯ ได้ให้ G. ใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯ ในการโฆษณา จะต้องหักภาษี ณที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

          3. บริษัทฯ ได้ซื้อ License Keys และ Support Contracts จากบริษัท ล. โดยบริษัทฯ จะไม่ได้รับลิขสิทธิ์ในโปรแกรมนี้ นอกจากการมีสิทธิในการขายให้กับลูกค้าเท่านั้น กรณีของSupportContracts นั้นในปีแรกไม่มีค่าบริการ ในปีถัดไปหากลูกค้าไม่ซื้อ Support Contracts ลูกค้าจะไม่ได้รับบริการใด ๆ เช่นไม่มีสิทธิในการอัพเกรดโปรแกรม แต่ลูกค้ายังคงใช้โปรแกรมเก่าที่มีอยู่ต่อไปได้การจ่ายค่า License Keys ให้กับบริษัทล. จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ส่วนค่าบริการ SupportContracts นั้น บริษัท ล. ตกลงให้บริษัทฯหักภาษี ณ ที่จ่ายจากใบแจ้งหนี้ก่อนที่บริษัทฯ จะชำระเงินจึงขอทราบอัตราการหักภาษี ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มตลอดจนวิธีคำนวณภาษี

ขอตัดมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง

          2.กรณีตาม 2. การชำระค่าโฆษณาและรับชำระค่าโฆษณา มีภาระภาษีหักณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้

              2.1กรณีตามข้อ 2.1 บริษัทฯ จ่ายค่าโฆษณาใน Searchengine ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตให้กับG. ในประเทศไอร์แลนด์เป็นกรณีที่ G. ลงโฆษณาให้กับบริษัทฯใน Search engine ซึ่งเป็นการให้บริการในต่างประเทศค่าตอบแทนกรณีการให้บริการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(8) แห่งประมวลรัษฎากรบริษัทฯไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใดไม่ว่าผู้ให้บริการในต่างประเทศจะอยู่ในประเทศที่มีข้อตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่และหากการลงโฆษณาดังกล่าวบริษัทฯได้นำผลจากการโฆษณามาใช้ย่อมเข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ให้บริการมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ7.0 ทั้งนี้ ตามมาตรา77/2 และมาตรา 83/6(2)แห่งประมวลรัษฎากร

              2.2กรณีตามข้อ 2.2 กรณีบริษัทฯ ให้ G. ใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯเพื่อโฆษณาตามข้อเท็จจริงเข้าลักษณะเป็นการให้บริการอันถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(8) แห่งประมวลรัษฎากรบริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใดและกรณีการใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯ เพื่อโฆษณาซึ่งลูกค้าในประเทศไทยอาจใช้บริการเปิดข้อมูลเว็บไซต์จากการโฆษณานั้นได้จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศและได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมดแต่ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105)ฯ ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543


ต้องการดูจดหมายตอบข้อหารือกรมสรรพากรฉบับเต็ม คลิกลิงก์ได้เลย ครับ


วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ตั้งแต่ 1 มิย 59 นิติบุคคลที่จ่ายค่าเช่าสัญญาเช่าทรัพย์สิน แบบลีสซิ่ง เมื่อจ่ายค่าเช่าต้องหัก ร้อยละ 5


อ้างอิงข้อกฎหมาย

ยกเลิก การยกเว้น(ภาษากฎหมาย "ยกเลิก การยกเว้น" = ไม่ยกเว้น)การหัก ณ ที่จ่ายสำหรับค่าเช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2559 เป็นต้นไป
(คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.๒๕๙/๒๕๕๒ เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙)

เพื่อให้เข้าใจง่าย

ขอนำภาพประกอบที่จัดทำโดย 
สมาคมผู้สอบบัญชี ภาษีอากรแห่งประเทศไทย มาแสดงเพื่อความชัดเจน ครับ


วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ภาษีเงินได้นิติบุคคล ของกิจการร่วมค้า


1.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการร่วมค้า ต้องใช้อัตราปกติ ไม่ได้สิทธิ SME

อ้างอิง :-
เลขที่หนังสือ: กค 0702/2018
วันที่: 17 มีนาคม 2553
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการร่วมค้า
ข้อกฎหมาย: มาตรา 39 มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 4 มาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551
ข้อหารือ          กรณีกิจการร่วมค้าฯ คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ถูกต้องครบถ้วน เนื่องจากกิจการร่วมค้าฯ คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยใช้อัตราลดภาษี ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 431) พ.ศ. 2548 และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 ซึ่งกิจการร่วมค้าฯ เห็นว่า กิจการร่วมค้าฯ ถือเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร และมีเงินลงทุนไม่เกิน 5,000,000 บาท ถือเป็นกิจการขนาดย่อม (SMEs) จึงมีสิทธิลดอัตราภาษีในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ จึงขอทราบว่า กิจการร่วมค้าฯ มีสิทธิใช้สิทธิประโยชน์ในการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 431) พ.ศ. 2548 และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 ได้หรือไม่
แนววินิจฉัย          1.กรณีกิจการร่วมค้าฯ ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เข้าลักษณะเป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในฐานะเป็นหน่วยภาษีเช่นเดียวกับนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไทย กิจการร่วมค้าฯ ต้องนำเงินได้ที่ได้รับจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการ มาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ในนามกิจการร่วมค้าฯ
          2. กรณีตามมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 บัญญัติว่า
          "...
          มาตรา 4 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ เฉพาะบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท
               (1) ร้อยละสิบห้าของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท แต่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท
               (2) ร้อยละยี่สิบห้าของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท
               มาตรา 5 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลดังกล่าว เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท
               ...."
               ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว นั้น หมายถึง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น
               ดังนั้น กรณีตาม 1. และ 2. กิจการร่วมค้าฯ ซึ่งไม่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ จึงไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าว แต่อย่างใด
เลขตู้: 73/37203

2.ผลขาดทุนจากกิจการร่วมค้า สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ตามสัดส่วนเมื่อเลิกกิจการและมีผลขาดทุนจากการชำระบัญชี

ค่าเผื่อการลดมูลค่าเงินลงทุนทางบัญชี ไม่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ต้องบวกกลับ แล้วรอจนเลิกกิจการชำระบัญชี

อ้างอิง

เลขที่หนังสือ: กค 0702/3143
วันที่: 10 มิถุนายน 2551
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีผลขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้า
ข้อกฎหมาย: มาตรา 65 ตรี (13) และมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ          กรณีบริษัท A ขอคืนภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 บริษัท A ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2550 บริษัท A จึงขอทราบว่า ผลขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้า บริษัท A มีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายในการ คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้หรือไม่
แนววินิจฉัย
          กรณีกิจการร่วมค้า ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จะต้อง เข้าลักษณะ ดังต่อไปนี้
          1. ได้ตกลงเข้าร่วมทุนกัน ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สิน แรงงานหรือเทคโนโลยี หรือร่วมกันในผลกำไร หรือขาดทุนอันจะพึงได้ตามสัญญาที่กระทำร่วมกันกับบุคคลภายนอก หรือ
          2. ได้ร่วมกันทำสัญญากับบุคคลภายนอก โดยระบุในสัญญาว่า เป็นกิจการร่วมค้า
          3. ได้ร่วมกันทำสัญญากับบุคคลภายนอก โดยสัญญากำหนดให้ต้องรับผิดร่วมกันในงานที่ทำไม่ว่า ทั้งหมดหรือบางส่วน และต้องรับค่าตอบแทนตามสัญญาร่วมกัน โดยสัญญาไม่ได้แบ่งแยกงานและค่าตอบแทน ระหว่างกันไว้อย่างชัดเจน
          หากกิจการร่วมค้าระหว่างบริษัท A และ B เข้าลักษณะเป็นกิจการร่วมค้าดังกล่าว ถือว่ากิจการร่วมค้า เป็นคนละหน่วยภาษีกับบริษัทผู้เข้าร่วมค้า อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผลขาดทุนสุทธิของกิจการร่วมค้าจะนำมาหักเป็นรายจ่ายของบริษัทผู้เข้าร่วมค้าไม่ได้ แต่ถ้ากิจการ ร่วมค้าเลิกประกอบกิจการ และได้จัดแบ่งคืนทุนให้แก่บริษัทผู้เข้าร่วมค้า เป็นจำนวนต่ำกว่าทุนที่ลงในกิจการ ร่วมค้า กรณีย่อมถือได้ว่าผลขาดทุนจากการลงทุนนั้นเป็นผลขาดทุนที่เกิดจากการประกอบกิจการของบริษัท ผู้เข้าร่วมค้าและเนื่องจากบริษัท A อยู่ระหว่างการตรวจคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ดังนั้น หากผลการตรวจของเจ้าพนักงานฯ ปรากฏ โดยชัดแจ้งว่า กิจการร่วมค้าได้เลิกประกอบกิจการและบริษัท A มีผลขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้า บริษัท A ย่อมมีสิทธินำผลขาดทุนจากการลงทุนนั้น มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี เงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้: 71/35930

3.ส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับจากกิจการร่วมค้าได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากได้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในนามของกิจการร่วมค้า 

อ้างอิง

 “มาตรา 5 ทวิ  ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการในประเทศไทย ให้แก่

                    (1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.119/2545)
( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.122/2545)

                    (2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและประกอบกิจการในประเทศไทย”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 108) พ.ศ. 2524 ใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีในหรือหลัง 31 ธันวาคม 2523 เป็นต้นไป)  

เลขที่หนังสือ: กค 0811/04292
วันที่: 9 เมษายน 2541
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีกิจการร่วมค้า
ข้อกฎหมาย: มาตรา 65, มาตรา 66, พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500, พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 108) พ.ศ. 2524
ข้อหารือ: บริษัท A จำกัด บริษัท B จำกัด บริษัท C จำกัด บริษัท D จำกัด บริษัท E จำกัด และ
บริษัท F จำกัด ร่วมกันซื้อที่ดิน 1 แปลง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างท่อรับและส่งผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบ
เช่น การวางท่อส่งก๊าซต่าง ๆ ท่อส่งของเหลวหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นในลักษณะเดียวกัน ในการร่วมกันซื้อ
ที่ดินดังกล่าวได้มีเงื่อนไขว่า หากมีบุคคลอื่นที่ประกอบกิจการอย่างเดียวกันประสงค์จะใช้ประโยชน์ใน
วัตถุประสงค์อย่างเดียวกันผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมทั้ง 6 ต้องให้ความยินยอม และผู้ขอเข้าร่วมกรรมสิทธิ์ต้อง
จ่ายค่าที่ดินให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมพร้อมดอกเบี้ย ขอหารือว่า
1. กิจการดังกล่าวเป็นกิจการร่วมค้าหรือไม่
2. หากว่าไม่เป็นกิจการร่วมค้า จะให้บริษัทปฏิบัติในการรับ-จ่ายอย่างไร
3. หากว่าเป็นกิจการร่วมค้า เมื่อรับเงินค่าที่ดินจากบุคคลที่เข้าร่วมกรรมสิทธิ์ใหม่แล้ว
กิจการร่วมค้าจะต้องจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะและจะจ่ายคืนค่าที่ดินตามราคาที่ซื้อมาให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิม
ทั้ง 6 รายได้หรือไม่
4. ผลกำไร หมายถึง ดอกเบี้ยที่คิดเท่ากับ N = A/x(1+i)n ของบันทึกข้อตกลงหลังหัก
ค่าใช้จ่ายจะต้องนำไปเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 30 จากนั้นจะแบ่งให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมทั้ง 6 ราย
รายละเท่า ๆ กัน โดยผู้รับไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอีกใช่หรือไม่
N = ค่าที่ดินที่ผู้ประสงค์เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมรายใหม่ต้องชำระ
I = MOR + 3% (ใช้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ณ วัน
ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของร่วม
A = ราคาที่ดินที่จัดซื้อจากผู้ขาย
x = จำนวนผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมรายเดิม + จำนวนผู้ประสงค์เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ราย
ใหม่
n = ระยะเวลานับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย
แนววินิจฉัย: 1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
การดำเนินกิจการของบริษัททั้ง 6 ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เข้าลักษณะเป็น
กิจการร่วมค้า จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร ใน
การคำนวณรายได้และรายจ่ายให้ใช้เกณฑ์สิทธิ์ โดยให้นำรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด แม้ว่า
จะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น และให้
นำรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้น แม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็น
รายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
ผลกำไรที่บริษัททั้ง 6 ได้จากการประกอบกิจการตามข้อเท็จจริงดังกล่าว บริษัททั้ง 6
ในฐานะกิจการร่วมค้า ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ
สำหรับเงินส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทฯ ผู้เข้าร่วมค้า ซึ่งเป็นบริษัทฯ หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตาม
กฎหมายไทย ได้รับจากกิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการในประเทศไทย ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ตามมาตรา 5 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 ลงวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2500 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 108) พ.ศ. 2524 ลงวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2524
2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
กรณีบริษัททั้ง 6 ยอมให้บุคคลอื่นเข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ถือ
เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 91/1 (4) แห่งประมวลรัษฎากร อยู่ในบังคับต้องเสีย
ภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้: 61/26576

4.ปัญหาที่พบในกิจการค้า ในทางปฎิบัติในบางกรณีพบว่า ทำสัญญาในนามกิจการร่วมค้า แต่ทำธุรกรรมจริงไปทำที่นิติบุคคลที่เป็นหุ้นส่วนในกิจการร่วมค้า กรมสรรพากรไม่ยอมรับ ต้องดำเนินการเสียภาษีในนามกิจการร่วมค้าตามสัญญา

อ้างอิง

เลขที่หนังสือ: กค 0706/12382
วันที่: 21 ธันวาคม 2550
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีกิจการร่วมค้า
ข้อกฎหมาย: มาตรา 39 และมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ          บริษัท ช. และบริษัท ก. ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในประเทศไทย ได้เข้าทำสัญญากับ ค.ในนามกิจการร่วมค้า บ. (กิจการร่วมค้า บ.) เพื่อรับจ้างก่อสร้างโครงการ ให้กับ ค. สัญญาที่ทำไว้กับ ค. ระบุให้บริษัททั้งสองต้องร่วมกันดำเนินงาน ในลักษณะของผู้ร่วมดำเนินกิจการ ทั้งในส่วนของรายละเอียดขอบเขตการก่อสร้าง ระบบการก่อสร้าง ค่าตอบแทน เงินล่วงหน้า การชดใช้เงินล่วงหน้า การจัดหาที่ดิน การแบ่งงวดงานการก่อสร้าง และความรับผิดชอบต่องานตามสัญญา ซึ่งเป็นความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม
          อย่างไรก็ตามบริษัททั้งสองได้ทำบันทึกข้อตกลงในระหว่างกันเองในการร่วมกันทำงานโครงการก่อสร้างตามบันทึกข้อตกลงในการร่วมทำงานในโครงการก่อสร้างบ้าน ซึ่งได้กำหนดให้บริษัททั้งสองแบ่งแยกงานค่าใช้จ่าย ค่าตอบแทน และความรับผิดชอบต่องานตามสัญญา ดังนี้
          1. ช. มีหน้าที่ก่อสร้างอาคาร ระบบสาธารณูปโภคภายนอกอาคาร ติดตั้งระบบไฟฟ้า และน้ำประปา ส่วน ก. มีหน้าที่จัดหาที่ดิน ถมดิน และประสานงานเกี่ยวกับเรื่องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
          2. ช. รับผิดชอบค่าตรวจสอบ ค่าใช้จ่ายในการติดตามผลงานเป็นเวลา 5 ปี ค่าปรับเนื่องจากงานล่าช้า และต้องวางเงินกับธนาคารเพื่อประกันการชำรุดเป็นเวลา 2 ปี ส่วน ก. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตก่อสร้างอาคารสำนักงาน
          3. ช. ได้รับรายได้โดยตรงจาก ค. ในส่วนของค่าก่อสร้างอาคาร ระบบสาธารณูปโภค ส่วน ก. ได้รับรายได้โดยตรงจากส่วนของค่าที่ดิน
          4. ช. รับผิดชอบค่าเสียหายเนื่องจากการดำเนินงานล่าช้าในส่วนของ ช.ให้แก่ ค. ส่วน ก. รับผิดในความชำรุด บกพร่องจากงานถมดิน
          บริษัททั้งสอง จึงขอหารือว่า ค่าตอบแทนที่ได้รับจาก ค. สำหรับโครงการก่อสร้างดังกล่าว จะต้องเสียภาษีอากรในนามของกิจการร่วมค้า (Joint Venture) หรือของบริษัททั้งสองแยกต่างหากจากกัน
แนววินิจฉัย          หากการแบ่งแยกงาน ค่าใช้จ่าย ความรับผิดชอบ และค่าตอบแทน เป็นความตกลงที่ทำขึ้นระหว่างบริษัททั้งสองที่เข้าร่วมกิจการร่วมค้าเท่านั้น โดยภายใต้สัญญาการก่อสร้างกับ ค. บริษัททั้งสองอยู่ในฐานะผู้ร่วมดำเนินกิจการที่ไม่มี ทั้งข้อกำหนดในการแบ่งแยกงาน และค่าตอบแทนออกจากกันอย่างชัดแจ้งแต่อย่างใด ดังนั้น การดำเนินกิจการร่วมกันของบริษัททั้งสองดังกล่าว จึงเข้าลักษณะเป็นกิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไรซึ่งถือเป็นกิจการร่วมค้า ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร กิจการร่วมค้า บ. ต้องนำเงินได้ที่ได้รับจากการก่อสร้างโครงการฯ มาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากรในนามของกิจการร่วมค้า
เลขตู้: 70/35528

เลขที่หนังสือ: กค 0706/12698
วันที่: 22 ธันวาคม 2546
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการประกอบกิจการร่วมกันของนิติบุคคล
ข้อกฎหมาย: มาตรา 39
ข้อหารือ: บริษัทฯ หารือเกี่ยวกับลักษณะการประกอบกิจการของนิติบุคคล มีรายละเอียดดังนี้
1. บริษัท อ. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. ได้ทำหนังสือสัญญากิจการร่วมค้า ลงวันที่ 2
กุมภาพันธ์ 2546 สรุปได้ว่า
1.1 วัตถุประสงค์ของการร่วมค้า เพื่อเข้าร่วมกันประกวดราคาก่อสร้างปรับปรุงท่าเรือ
ท่องเที่ยวบนเกาะสมุย (ท่าเรือเล็กและท่าเรือยอร์ช) ของเทศบาลตำบลเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
1.2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. เป็นผู้รับผิดชอบหลักและตกลงมอบอำนาจให้บริษัทฯ โดย นาย
จ. เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการประกวดราคา รวมถึงดูสถานที่ก่อสร้างและรับฟังคำชี้แจงเพิ่มเติม ยื่นซอง
ประกวดราคา การเสนอราคาและลงนามในใบเสนอราคา การต่อรองราคา และการทำสัญญาจ้างของ
งานดังกล่าว และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงอนุญาตให้ผลงานก่อสร้างของแต่ละฝ่ายใช้ดำเนินการเพื่อการนี้
กับเทศบาลตำบลเกาะสมุย
1.3 ทั้งสองฝ่ายใช้ชื่อว่า กิจการร่วมค้า บริษัท อ. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. แต่
ไม่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่
1.4 ทั้งสองฝ่ายเข้ามีส่วนร่วมในสิทธิและความรับผิดที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับ
กิจการร่วมค้า โดยเฉพาะในผลกำไรหรือผลขาดทุน โดยแต่ละฝ่ายรับผิดชอบร้อยละ 50
2. กิจการร่วมค้า บริษัท อ. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. ได้เข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้าง
ปรับปรุงท่าเรือท่องเที่ยวบนเกาะสมุย
3. กิจการร่วมค้าฯ ได้มีหนังสือถึงนายกเทศมนตรีตำบลเกาะสมุย โดยให้บริษัท อ.เป็น
ผู้ดำเนินการก่อสร้างแต่เพียงผู้เดียวเต็ม 100%
4. หนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 10 มีนาคม 2546 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. โดยนางสาว น.
ได้มอบอำนาจให้บริษัทฯ โดย นาย จ. มีอำนาจกระทำการแทนในกิจการร่วมค้าฯ และอีกในนามของ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. ดังนี้
4.1 ให้มีอำนาจเข้าทำสัญญาจ้างในนามของกิจการร่วมค้า
4.2 ให้เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานก่อสร้าง
4.3 ให้มีอำนาจเสนอแก้ไขแบบแปลนการก่อสร้าง ค่าจ้าง การจ่ายเงินงวดงาน
4.4 ให้มีอำนาจรับเงินเบิกจ่าย
บริษัทฯ เห็นว่า แม้จะใช้ชื่อในการทำสัญญากับคู่สัญญาว่าเป็นกิจการร่วมค้า แต่การร่วมกันของ
ทั้งสองกิจการไม่เป็นกิจการร่วมค้าเพราะลักษณะของการร่วมกิจการของบริษัทฯไม่มีลักษณะของ
กิจการร่วมค้า (Joint Venture) แต่เป็นลักษณะของกลุ่มบริษัท (Consortium)เนื่องจาก
1. บริษัททั้งสองมิได้ร่วมลงทุนในกิจการ เป็นต้นว่า ค่าวัสดุก่อสร้าง บริษัทฯ เป็นผู้มี
ค่าใช้จ่ายเพียงฝ่ายเดียว ด้วยหลักฐานใบกำกับภาษีและใบสำคัญอื่น ๆ โดยข้อเท็จจริง บริษัทฯ เป็น
ผู้ลงทุนฝ่ายเดียว 100%
2. ไม่มีการแบ่งผลกำไรขาดทุนระหว่างกัน เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. มิได้ลงทุนในการ
ก่อ 1 สร้าง
3. หากบริษัทร่วมค้าต้องจดทะเบียนนิติบุคคลขึ้นใหม่ จะมีสถานะเป็นนิติบุคคลใหม่ แต่เมื่อ
ทั้งสองมิได้จดทะเบียนใหม่ จึงมีสถานะเป็นกลุ่มบริษัท (Consortium) และไม่เป็นหน่วยภาษีใหม่ และ
ไม่ต้องขอมีบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี
4. ในการรับเงินค่าก่อสร้างจากผู้ว่าจ้างตามงวดงาน ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายเงินในนาม บริษัทฯ
เป็นผู้รับเงินแต่เพียงผู้เดียว และบริษัทฯ เป็นผู้ออกใบแจ้งหนี้/ใบกำกับภาษี และใบเสร็จรับเงิน
5. เมื่อเอกสารประกวดราคาจ้างมิได้กำหนดคุณสมบัติหรือเงื่อนไขของผู้ประกวดราคาจ้าง ผู้
เข้าประกวดราคาจึงสามารถเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลใด ๆ ก็ได้
แนววินิจฉัย: สัญญากิจการร่วมค้าระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฉ. กับบริษัท อ. มีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าทำ
การประกวดราคาก่อสร้างปรับปรุงท่าเรือท่องเที่ยวบนเกาะสมุยกับสำนักงานเทศบาลตำบลเกาะสมุย
ไม่มีการแบ่งแยกงาน ความรับผิดชอบและการรับเงินค่าจ้างอย่างชัดเจน และกำหนดให้บริหารกิจการใน
รูปคณะกรรมการบริหารซึ่งแต่งตั้งจากนิติบุคคลทั้งสองฝ่าย โดยยึดถือหลักถ้อยทีถ้อยอาศัย เพื่อประโยชน์
สูงสุดของกิจการร่วมค้า และสัญญาจ้างระบุโดยชัดแจ้งว่า เข้าทำสัญญาในลักษณะกิจการร่วมค้า ไม่มี
การแบ่งแยกงาน ความรับผิดและการรับเงินค่างวดงาน ดังนั้น การร่วมดำเนินการของห้างหุ้นส่วนจำกัด
ฉ. และบริษัท อ. จึงเป็นการดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไร ระหว่างบริษัทกับห้างหุ้นส่วน
นิติบุคคล เข้าลักษณะเป็นกิจการร่วมค้า ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร กิจการร่วมค้าจึงอยู่ใน
บังคับต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร และกิจการร่วมค้ามีหน้าที่ยื่น
คำขอมีเลขและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
สำหรับการที่บริษัทฯ อ้างว่า ไม่มีวัตถุประสงค์ดำเนินการในลักษณะกิจการร่วมค้า แต่มาร่วม
ดำเนินงานโดยอาศัยสัญญาระหว่างกันเท่านั้น จึงไม่เป็นหน่วยภาษีใหม่และไม่ต้องขอมีเลขและ
บัตรประจำตัวผู้เสียอากร และบริษัทฯ เป็นผู้ออกใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงินและเอกสาร
ทางการเงินอื่น ๆ นั้น ถือว่า เป็นข้อตกลงภายในของกิจการร่วมค้าไม่อาจนำมาเป็นข้อยกเว้นใน
การปฏิบัติตามกฎหมายได้
เลขตู้: 66/32757
clear-gif

ข้อจำกัดความรับผิดชอบความเห็นข้างต้น.:- สรุปความเห็นทั้งหมดจากข้อมูลอ้างอิง ข้อหารือกรมสรรพากรข้างต้น เท่านั้น ขอให้ผู้นำไปใช้วิเคราะห์ตามข้อมูลของแต่ละสถานการณ์